20 มิ.ย. 2555

สร้างบุคลิกภาพที่ดูดีเมื่อแรกเห็น

สร้างบุคลิกภาพที่ดูดีเมื่อแรกเห็น


สำหรับคนทำงานที่ต้องพบปะผู้คนอยู่เสมอ First Impression หรือความประทับใจเริ่มแรกนั้น ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญค่ะ...เพราะนั่นหมายถึงความน่าเชื่อถือ ความนิยมชมชอบ และต่อเนื่องไปถึงการติดต่อสัมพันธ์กันอีกยาวนาน... แต่สังเกตไหมคะ คนที่มึบุคลิกดีจนสร้างความประทับใจให้กับใครต่อใครได้นั้นมีไม่มากคนนักหรอกค่ะ และถ้าคุณอยากเป็นเช่นนั้น นี่เป็นเรื่องที่คุณควรทำ และไม่ควรทำ เพื่อสร้างบุคลิกภาพที่ดูดีเมื่อแรกเห็นค่ะ อย่าสูบบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่นั้นเป็นตัวการในการทำลายผิวอย่างร้ายแรง สารนิโคตินในบุหรี่ทำให้ผิวคุณหมองคล้ำ ไม่สดใสมีชีวิตชีวา และไม่เพียงแต่ผิวเท่านั้นนะคะ ผมสวยๆ ของคุณก็ได้รับผลเสียจากการสูบบุหรี่ด้วยเช่นกัน นอกจากนั้นบุหรี่ยังเป็นตัวการสำคัญในการสร้างริ้วรอยเหี่ยวย่น โดยเฉพาะบริเวณรอบๆ ริมฝีปากของคุณ ในส่วนบิวตี้ของบีบีซีบอกว่ามีนางแบบมากมายที่นิยมใช้บุหรี่ในการรักษาหุ่นเพรียว แต่ก็หารู้ไม่ว่านี่เป็นการทำลายอาชีพของพวกหล่อนอย่างร้ายกาจ (ก็รอยเหี่ยวย่น ความโทรมที่ตามมายังไงล่ะคะ) และนี่คือเหตุผลทั้งหมดที่ว่าทำไมคุณจะดูดีไม่ได้ยามมีบุหรี่อยู่ในมือ ควรดื่มแอลกอฮอล์แต่พอควร ในอาทิตย์หนึ่งคุณควรกำหนดไว้ว่า ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์มากจนเกินไปนัก (ผู้เชี่ยวชาญว่าอาทิตย์หนึ่งไม่ควรเกิน 14 ยูนิตค่ะ) เพราะไม่เพียงจะเสียบุคลิกอันควรแล้ว แอลกอฮอล์ยังเป็นพิษร้ายกับตับของคุณอย่างมากด้วย มีความสุขกับการเป็นคนมีสุขภาพดี ถ้าคุณอยู่ในช่วงไดเอท ควรใช้วิธีรับประทานผักและผลไม้ให้มากเข้าไว้ นอกจากจะได้วิตามิน สารอาหาร และแอนติออกซิแดนท์จากธรรมชาติแล้ว หุ่นสวยๆ และผิวพรรณดีๆ อยู่ไม่ไกลค่ะ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพราะการออกกำลังกายนั้นช่วยทำให้ผิวพรรณคุณมีเลือดฝาดสวย และช่วยรักษารูปร่างให้คงที่ ซึ่งส่งผลให้คุณรู้สึกมั่นอกมั่นใจ และสร้างความสง่างามกับบุคลิกได้อย่างน่าทึ่ง ปกป้องผิวจากแสงแดด เพราะอัลตร้าไวโอเลต A หรือ UVA นั้นเป็นตัวร้ายที่สุดในการทำลายคอลลาเจน (collagen-สารโปรตีนประเภทหนึ่งที่เป็นส่วนประกอบของผิวหนัง กระดูกเนื้อเยื่อ และฟัน) ให้หมดไป ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญให้ผิวคุณย่ำแย่ เพิ่มริ้วรอย และความหมองคล้ำอย่างมากมาย นอนให้พอ การนอนหลับเป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยในการซ่อมแซมร่างกายตามธรรมชาติ นอกจากนั้นว่ากันว่าการนอนเป็นเคล็ดลับในการบำบัดจิตใจของคุณด้วย ค้นหาหนทางที่มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาหรือความกดดันที่เกิดขึ้นกับตัวเอง และอย่าแสดงออกถึงปัญหาทางใบหน้าและบุคลิก เพราะมันไม่ได้สร้างความประทับใจให้กับใครเลยค่ะ ดูแลรักษาฟันอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการไปตรวจกับหมอฟันประจำตัวของคุณตามระยะเวลาที่กำหนด อย่าผัดวันประกันพรุ่ง เพราะบางทีปัญหาเล็กอาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ยากแก่การรักษาได้ ไม่ยากเลยใช่ไหมคะ...เพียงคุณเอาใจใส่กับตัวเองอีกนิดเท่านั้นเอง...

วิธีหลีกเลี่ยงกับความโกรธโดยไม่ทำร้ายตัวเอง

วิธีหลีกเลี่ยงกับความโกรธโดยไม่ทำร้ายตัวเอง
 
แคส บรูทัน-วาร์ดเคยทำงานกับเจ้านายที่มีนิสัยชอบตำหนิและเผด็จการ เวลาพูดคุยกันเรื่องงานก็ชอบสั่งการและเมินข้อเสนอที่ไม่ตรงกับความเห็นของตน ขณะประชุมระดมสมอง นายมักจะพูดจัดจังหวะแคสกับเพื่อนร่วมงานและใช้คำพูดรุนแรง เช่นนั่นเป็นความคิดที่แย่จริง ๆ แคสซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อสารมวลชน สัมพันธ์ วัย ๔๗ เดินเข้าห้องประชุมด้วยอารมณ์สงบเสมอ แต่จะเริ่มโมโหขึ้นเรื่อย ๆ จนโกรธสุดขีด เมื่อประชุมเสร็จ ในที่สุด เธอตัดสินใจลองใช้เทคนิคโยคะ ขณะประชุมเพื่อสงบสติอารมณ์ เธอกล่าวว่า ดิฉันจะนั่งตัวตรง หายใจลึก และเพ่งไปที่ลมหายใจ วิธีง่าย ๆ นี้ช่วยให้ดิฉันตั้งใจประชุมได้โดยไม่เกิดอารมณ์ฉุนเฉียวแคสไม่เพียงแต่แก้ปัญหาการทำงานได้ แต่ยังสามารถหยุดยั้งการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายที่เกิดจาก ความโกรธอันเป็นผลเสียต่อสุขภาพ โดยใช้วิธีเบี่ยงเบนจุดสนใจกับการหายใจช้าและลึก ซึ่งทำให้อัตรา การเต้นของหัวใจและความดันโลหิตลดลงขณะกล้ามเนื้อผ่อนคลายความเชื่อที่ว่าการปลดปล่อยอารมณ์โกรธจะมีผลดีต่อสุขภาพนั้นไม่เป็นที่ยอมรับอีกต่อไปเพราะพบว่าการปล่อยอารมณ์ออกมากลับเพิ่มความโกรธเหมือนกระพือลมใส่กองไฟ และที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือจะเพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพตั้งแต่โรคหัวใจไปจนถึงโรคมะเร็ง อย่างไรก็ดี ผู้เก็บกดความโกรธจะมีการตอบสนองของร่างกายเช่นเดียวกับผู้แสดงอารมณ์ออกมา ชาลส์ สปิลเบอเกอร์ ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยเซาท์ฟลอริดา ซึ่งศึกษาเรื่องความโกรธ กล่าวว่าการเก็บกดอารมณ์โกรธเปรียบเหมือนการเหยียบเบรกระหว่างขับรถ ทำให้เกิดการเสียดทานของเครื่องยนต์ในร่างกายไม่น่าแปลกใจที่พบว่าอาการนี้มักเกิดมากที่สุดในคนประเภทโกรธง่าย ไม่ว่าจะแสดงออกมาหรือไม่การศึกษาเมื่อปี ๒๕๔๔ ที่ตีพิมพ์ใน วารสารระบาดวิทยา ของสหรัฐฯ พบว่า ผู้ที่โมโหอยู่ตลอดเวลามีแนวโน้มตจะเกิดอาการหัวใจพิบัติมากกว่าผู้ที่ใจเย็นถึงสองเท่า และยังมีผลการศึกษา ซ งระบุว่าผู้หญิงโกรธง่ายมีแนวโน้มจะมีไขมันและเป็นโรคอ้วนมากกว่าผู้หญิงใจเย็น ๔ เท่า หน่วยวิจัยการแพทย์ด้านพฤติกรรมแห่งศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยดุ๊ก กล่าวว่า คนที่โกรธง่ายจะมีโอกาสเป็นโรคหลายชนิดและส่วนใหญ่จะเป็นคนกินจุ สูบบุหรี่ และดื่มสุราจัดกว่าคนปกติความโกรธจะกระตุ้นฮอร์โมนความเครียดให้หลั่งมากขึ้น ซึ่งมีผลให้หัวใจเต้นถี่ขึ้นและความดันโลหิตสูงขึ้นฮอร์โมนเหล่านี้หากมีปริมาณมากเกินไปจะเป็นอันตรายต่อเส้นเลือดแดงและกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้หัวใจเต้นผิดปกติและยังอาจทำให้เส้นเลือดตีบ คราบไขมันหลุดออกไปอุดเส้นเลือดแดง และทำให้เกิดภาวะหัวใจพิบัติได้ฮอร์โมนความเครียดยังมีผลต่อภูมิต้านทานของร่างกาย นักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยโคโลราโดพบว่าในกลุ่มคนขี้โมโห เซลล์ซึ่งทำหน้าที่กำจัดเซลล์เนื้องอกมีประสิทธิภาพในการทำงานต่ำกว่าคนใจเย็น คนทั่วไปประมาณร้อยละ ๒๐ มีนิสัยโกรธง่าย อีกร้อยละ ๒๐ เป็นคนใจเย็นส่วนที่เหลือจะเป็นพวกอยู่ระหว่างสองกลุ่มนี้ จะรู้ได้อย่างไรว่าคุณเป็นพวกลูกระเบิดเวลาเคลื่อนที่หรือไม่ พวกที่โกรธอยู่ตลอดเวลาจะมีลักษณะคล้าย ๆ กัน คือ มีคว ามรู้สึกในแง่ลบ ก้าวร้าว ชอบพูดถากถาง และไม่ไว้ใจคน วิธีวัดตัวเองคือ ให้จดบันทึกรายวันถึงคว ามรู้สึกโกรธ หรือการประพฤติตัวก้าวร้าว อย่างเช่นบีบแตรรถ หรือคิดในแง่ลบ เช่น นายเรานี่งี่เง่าจริง ๆ ถ้าคุณจดรายการโกรธได้มากกว่า ๓ ครั้งในหนึ่งวันแสดงว่าอารมณ์ของคุณอาจอยู่ในระดับที่ไม่ดีต่อสุขภาพ แต่ไม่มีใครรู้ว่าขีดอันตรายของระดับคว ามโกรธอยู่ที่ไหน เราทุกคนควรเรียนรู้วิธีควบคุมความโกรธ แต่กามปล่อยออกมาหรือเก็บกดก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันแล้วจะใช้วิธีไหนดี คำตอบคือ จัดการกับอารมณ์โดยไม่ต้องเก็บกด หรือยอมแพ้ การศึกษาชายหญิงจำนวน๕,๗๐๐ คน อายุระหว่าง ๑๕ ถึง ๖๔ ปีที่สวีเดนเมื่อเร็ว ๆนี้ พบว่าคนงานที่ตอบโต้กับความไม่ยุติธรรมอย่างเปิดเผยไม่ว่าจะคัดค้านโดยตรง หรือพูดออกมาเมื่ออารมณ์เย็นลงมีแนวโน้มจะมีความดันโลหิตน้อยกว่ากลุ่มที่ระบายความโกรธกับตัวเองจนปวดศีรษะและปล่อยให้อารมณ์เสีย การศึกษาซึ่งตีพิมพ์ในวารสารสุขภาพจิตของสหรัฐฯ เมื่อปี ๒๕๔๒ พบว่าผู้ป่วยหัวใจพิบัติในแคนาดาซึ่งได้รับการฝึกให้ควบคุมอารมณ์โกรธมีความดันโลหิตลดลงอย่างเห็นได้ชัด วิธีจัดการกับความโกรธดั้งเดิม เช่น การถอยหลังออกมา การนับหนึ่งถึงสิบ หรือการออกไปเดินเล่น ทำให้เรามีเวลาสงบสติอารมณ์และศึกษาสถานการณ์ แต่เทคนิคใหม่ต่อไปนี้เป็นการย้ายความโกรธจากหัวใจไปยังสมอง หรือจากอารมณ์ไปสู่เหตุผล ตั้งคำถามกับตัวเอง ผู้เชี่ยวชาญแนะว่า เมื่อใดที่รู้สึกโกรธให้ถามตัวเองสี่ข้อคือ เรื่องนี้สำคัญหรือไม่ เหมาะสมที่จะโกรธไหม สถานการณ์เช่นนี้แก้ไขได้หรือไม่ และคุ้มหรือไม่ที่จะโกรธ การประเมินเช่นนี้จะทำให้ความโกรธเปลี่ยนเป็นเหตุผลจนคุณสามารถควบคุมความโกรธได้ ถ้าคำตอบทั้งหมดคือ ใช่ให้ตัดสินใจว่าผลลัพธ์ที่คุณต้องการคืออะไร แล้วจึงวางแผนและทำตามนั้น ถ้ามีคำตอบ ไม่ใช่แม้แต่ข้อเดียว แสดงว่าคุณควรเปลี่ยนวิธีตอบสนองด้วยความโกรธเสียก่อน พิจารณาทางเลือก เมื่อเจ้านายพูดสวนขึ้นขณะคุณยังพูดไม่จบจนคุณเริ่มโมโห วิธีดีที่สุดตอนนั้นคือไตร่ตรองหาทางเลือกหลาย ๆ ทางและผลที่จะตามมา ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยรัฐโคโลราโด กล่าวว่า ถ้าคุณรู้สึกว่าต้องจัดการกับเหตุการณ์นั้น ให้ลองคิดหาทางออกหลาย ๆ ทาง รวมทั้งในแง่ขบขัน โดยถามตัวเองว่า เจ้านายจะพูดยังไงถ้าเราบอกว่า ผมคิดว่าคุณควรฟังผมอธิบายก่อน เราจะร้องเรียนฝ่ายบุคคลดีไหม หรือควรถามเพื่อนร่วมงานว่าเขาจะทำยังไงถ้าเจอเหตุการณ์แบบเดียวกัน การคิดถึงคำถามเหล่านี้จะทำให้คุณอารมณ์เย็นลงและได้มุมมองใหม่ ๆ เขียนลงบนกระดาษ การเขียนช่วยบังคับคุณให้จัดความคิดอย่างเป็นระบบ คิดได้ชัดเจนและใช้หัวคิดแทนที่จะหัวเสีย ยิ่งไปกว่านั้นหากเหตุการณ์ที่ทำให้โมโหเกิดขึ้นในที่ทำงานคุณก็จะมีวิธีจัดการกับเหตุการณ์นั้นอย่างเป็นงานเป็นการ และถ้าเลวร้ายถึงขั้นทะเลาะกัน คุณจะได้มีบันทึกเป็นเครื่องช่วย วิเคราะห์ผลได้ผลเสีย คุณต้องถามตัวเองว่า ฉันจะได้อะไรจากการโกรธนี้คุณอาจต้องปล่อยวางแต่ไม่ใช่เก็บกด ผู้เชี่ยวชาญแนะว่าคุณควรหยุดคิดสักครู่เพื่อหาทางเลือกอย่างฉลาดว่าควรปฏิบัติตนอย่างไรอย่าทำให้เป็นเรื่องส่วนตัว คนโกรธส่วนใหญ่มักไม่ฟังความเห็นของผู้อื่น มีหลายอย่างที่ทำให้เราไม่พอใจคนอื่น เช่น ชักช้าอืดอาด ไม่สุภาพ หรือบ้าบิ่นทั้งที่ไม่เกี่ยวกับตัวเราเลยการเตือนตัวเองถึงสิ่งเหล่านี้จะสามารถเปลี่ยนความโกรธที่เกิดขึ้นให้เป็นความรู้สึกเฉย ๆ หรือกลายเป็นความเข้าใจ ศาสตราจารย์วิทยาท่านหนึ่งแนะว่า ให้บอกตัวเองว่าคนคนนั้นไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ฉันเสียเวลา แต่เป็นเพียงความบกพร่องโดยไม่เจตนาถ้าคุณโกรธกับทุกสถานการณ์ไม่ว่าจะเป็นการยืนต่อคิว หรือเมื่ออ่านข่าว เรื่องหุ้นก็ควรรู้จักผ่อนคลายบ้าง วิธีผ่อนคลายมีอยู่มากมาย เช่น ฝึกโยคะ ทำสมาธิ และหายใจลึก ๆ หรืออาจเป็นวิธีอื่น ๆ ซึ่งจะช่วยให้คุณมองสถานการณ์ชวนหงุดหงิดได้อย่างใจเย็นขึ้น. คุณโกรธรุนแรงแค่ไหน ในการศึกษาระยะยาวเกี่ยวกับอารมณ์โกรธและอัตราเสี่ยงต่อโรคหัวใจพิบัติ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดจัดอันดับความโกรธของคนจำนวน ๑,๓๐๐ คน โดยใช้คำถามต่อไปนี้ พวกเขาพบว่าพวกที่มีความโกรธรุนแรงจะมีอัตราเสี่ยงต่อหัวใจพิบัติมากขึ้น หากอยากทราบว่าคุณอยู่ในระดับใด ให้หนึ่งคะแนนสำหรับคำตอบว่า ใช่ในคำถามข้อ ๑ ถึง ๑๕ และให้หนึ่งคะแนนสำหรับคำตอบ ไม่ใช่ในคำถามข้อ ๑๖ ใช่ ไม่ใช่ ๑. บางครั้งฉันรู้สึกอยากด่าออกมา ....... ....... . บางครั้งฉันอยากขว้างข้าวของ ....... ....... . หลายครั้งที่ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมจึงหงุดหงิดและขี้บ่น ....... ....... . บางครั้งฉันรู้สึกอยากลงไม้ลงมือกับใครสักคน ....... ....... . ฉันรู้สึกรำคาญคนอื่นได้ง่าย ....... ....... . มีคนบอกเสมอว่าฉันเป็นคนอารมณ์ร้อน ....... ....... . บ่อยครั้งที่ฉันโมโหมากเมื่อมีคนพยายามจะแซงคิวจนต้องบอกให้เขารู้ตัว ....... ....... . บางครั้งฉันต้องหยาบคายกับคนที่ไม่มีมารยาท หรือน่ารำคาญ ....... ....... . ฉันต้องเสียใจบ่อยครั้งจากการหงุดหงิดง่าย ....... ....... ๑๐. เวลามีคนมาเร่งจะทำให้ฉันโมโหม ....... ....... ๑๑. ฉันเป็นคนดื้อรั้นมาก ....... ....... ๑๒. บางครั้งฉันโกรธและโมโหมากจนไม่รู้ว่าทำอะไรลงไป ....... ....... ๑๓. ฉันเคยโกรธถึงขั้นทำลายข้าวของหรือขว้างจานชามตอนดื่มสุรา ....... ....... ๑๔. ฉันเคยโมโหคนหนึ่งมากจนรู้สึกอยากระเบิดออกมา ....... ....... ๑๕. บางครั้งฉันเคยโมโหมากจนทำให้คนอื่นเจ็บตัวจากการชกต่อยกัน ....... ....... ๑๖. น้อยครั้งมากที่ฉันควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ....... ....... อันดับ ๐- ๑ เป็นคนใจเย็น มีอัตราเสี่ยงต่ำต่อการเกิดหัวใจพิบัติ เนื่องจากความโกรธ ๒-๔ ปานกลาง มีอัตราเสี่ยงต่อหัวใจพิบัติเนื่องจากความโกรธมากกว่าคนใจเย็น ๒.๗ เท่า ๕-๖ เป็นคนขี้โมโหฉุนเฉียว มีอัตราเสี่ยงต่อหัวใจพิบัติ เนื่องจากความโกรธมากกว่าคนใจเย็น ๓.๕ เท่า

10 วิธีง่ายๆ ใช้ระงับความโกรธ

10 วิธีง่ายๆ ใช้ระงับความโกรธ
1.หลีกเลี่ยง
"การหลีกเลี่ยง" กับ "การหลีกหนี" แตกต่างกันนะครับ การหลีกเลี่ยงไม่ได้หมายความว่าคุณขลาดกลัว หรือไม่เป็นลูกผู้ชาย ตรงกันข้าม วิธีนี้กลับเป็นสิ่งที่แสดงวุฒิภาวะในการควบคุมอารมณ์ของคุณต่างหาก คุณอาจจะออกมาเดินเล่น ผ่อนคลาย ประนีประนอม หรือไม่ก็พับงาน-กิจกรรมนั้นไว้ว่ากันวันหลังที่อารมณ์ดีขึ้นแล้ว ต้องจำให้ขึ้นใจนะครับว่า ไม่ใช่การหลีกหนีโดยไม่รับผิดชอบ หรือก่อความเสียหายไว้ให้คนอื่นต้องตามแก้
2. ระบาย
"ระบาย" นะครับ ไม่ใช่ "ระเบิด" และต้องรู้จักเลือกคนที่เราจะระบายด้วยนะ ควรเป็นคนที่เข้าใจ และไว้ใจได้ เพราะขืนไประบายกับคนที่ไม่เข้าใจ และพวกปากประชาสัมพันธ์แทนที่จะระบายจะทำให้คุณสบายใจ สบายหัว การระบายโดยไม่เลือกนิสัย และสันดานของบุคคลที่สาม อาจกลายเป็นการจุดชนวนระเบิดตูมใหญ่ให้คุณดีๆ นี่เอง
3.กิน
มีใครจะปฏิเสธบ้างว่า การกินคือวิธีสร้างสุขอย่างดีวิธีหนึ่งของมนุษย์ โดยเฉพาะการกินอาหารอร่อยถูกปาก คุณเอ๋ย...สุขอย่าบอกใคร ทุกครั้งที่ลิ้นได้รับรสอันโอชะของอาหารจานโปรด เชื่อสิว่าความโกรธจะดับวูบลงราวกับโยนไม้ขีดไฟลงแม่น้ำเลยละ โดยเฉพาะอาหารจำพวกขนมหวาน เพราะมีการพิสูจน์แล้วว่า สามารถดับพิษแห่งความโกรธได้ชะงัด อ้อ...อย่าโกรธบ่อยจนอ้วนก็แล้วกัน
4.ดื่ม
โดยเฉพาะดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ รสซาบซ่า ฉ่ำใจ อาจจะเป็น น้ำเปล่า น้ำผลไม้ น้ำอัดลมเย็นเจี๊ยบสักแก้ว จะซดเฮือกๆ ให้หายโกรธ หรือค่อยๆ จิบละเลียดช้าๆ ก็ไม่ว่ากัน ตราบใดที่ความเย็นยังบรรเทาความร้อนได้ น้ำเย็นก็สามารถบรรเทาความโกรธได้ตราบนั้น ที่สำคัญถ้าคุณระงับความโกรธด้วยแอลกอฮอล์เย็น อย่าเมาแล้วขับ หรือหลับข้างถนนก็แล้วกัน
5.หัวเราะ
มีหลายอย่างที่จะทำให้คุณหัวเราะได้ การพูดคุยกับคนที่มีอารมณ์ขัน การอ่านหนังสือ ดูตลกในทีวี หรือแม้แต่การส่องกระจกดูหน้าตาตัวเองที่กำลังโกรธเกรี้ยวเป็นไอ้บ้าอยู่ก็ตาม เอาเป็นว่าทุกเรื่อง ทุกคนที่กระตุ้นต่อมฮาของคุณได้ก็โอเค ทุกครั้งที่โกรธ จงหัวเราะดังๆ ให้เท่ากับความโกรธที่มันจุกอกอยู่ รับรองว่าต่อมฮาฆ่าความโกรธกระจาย (แต่อย่าเผลอหัวเราะตอนเจ้านายกำลังด่าคุณก็แล้วกัน)
6.ร้องไห้
การร้องไห้เป็นกลไกของร่างกายตามธรรมชาติที่ช่วยระบายความเครียด ความคับข้องในจิตใจให้หมดสิ้นไป รวมทั้งการระบายความโกรธ ดังนั้น ผู้ชายร้องไห้จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เว้นเสียแต่ว่าคุณจะแหกปากร้องไห้ หรือสะอื้นฮักๆ ต่อหน้าธารกำนัล ถ้าโกรธตอนอยู่คนเดียวแล้วไม่รู้จะทำยังไง หรืออยากจะร้องไห้ ลองปล่อยน้ำตาให้ไหลโดยไม่ต้องบังคับดูสิ แล้วคุณจะรู้ว่าร้องไห้ช่วยไล่ความโกรธได้จริงๆ
7.ร้องเพลง
เพลงอะไร กับใคร ที่ไหน ร้องไปเถอะ จะร้องเบาๆ หรือแหกปากร้องก็เอาเลย สังคมไทยไม่เคยรังเกียจคนร้องเพลง (ยกเว้นร้องเพลงรักในงานศพ) นักจิตวิทยาบอกว่า การร้องเพลงจะช่วยให้กล้ามเนื้อที่ตึงเครียดผ่อนคลาย และหายโกรธได้ ถ้าโกรธจนนึกไม่ออกว่าจะร้องเพลงอะไร ขอแนะนำว่าให้ร้องเพลงไทยยอดนิยมตลอดกาล "เพลงชาติ" หรือ "เพลงช้าง" ที่ร้องได้ตั้งแต่ชั้น ป.1 รับรองว่าทั้งคนร้อง คนฟังฮาครืน ครื้นเครง
8.พักผ่อน
หากิจกรรมที่คุณทำแล้วเพลิดเพลิน ออกกำลังกายช้อปปิ้ง ดูหนัง ฟังเพลง อะไรก็ได้ที่ทำแล้วคุณรู้สึกว่าได้ผ่อนคลายความตึงเครียด ความโกรธ และไม่ทำให้ตัวเองและคนอื่นเดือดร้อนทำไปเถอะ มีข้อแม้อยู่นิดเดียวว่าการพักผ่อนนั้น อย่าทำให้คุณเสียงาน และเสียเงินจนเกินไปก็แล้วกัน
9.นอนหลับ
เคยสังเกตไหมว่า เวลาที่คุณโกรธ หรือเครียดมากๆ เป็นเวลานานๆ คุณจะรู้สึกหนักหัว และง่วงนอนมากๆ นั่นแหละคือสัญญาณที่ร่างกายต้องการบอกคุณว่า ถ้าได้หลับเต็มอิ่มสักงีบ อารมณ์โกรธของคุณจะได้รับการปลดปล่อยโดยกลไกธรรมชาติ หากจะพูดถึงกระบวนการระบายความโกรธในขณะนอนหลับคงจะยืดยาวน่าเบื่อ เอาเป็นว่าถ้าไม่เชื่อลองนอนหลับดูก็แล้วกัน
10.ให้อภัย
ฟังดูแล้วอาจจะพระเอ๊ก...พระเอก แต่ทุกครั้งที่เราให้อภัยคนที่ทำให้โกรธ เชื่อสิว่าถึงไม่ได้อะไร แต่เราก็ภาคภูมิใจ สบายใจอยู่ลึกๆ การให้อภัยคือการปล่อยวาง และให้โอกาสทั้งตัวเองและผู้อื่น ให้โอกาสผู้อื่นได้แก้ตัว ปรับปรุงตัว ให้โอกาสตัวเองได้เป็นผู้ให้ ได้ฝึกนิสัย และจิตใจตัวเองให้เย็นลง และรู้จักปล่อยวาง รู้สึกดีทั้งผู้ให้ และผู้ได้รับการอภัย

ลักษณะของผู้ที่มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี

ลักษณะของผู้ที่มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี
ผู้ที่มีสุขภาพกายดีจะมีลักษณะ ดังนี้

มีการเจริญเติบโตทางด้านร่างกายที่สมวัย มีน้ำหนักและส่วนสูงเป็นไปตามเกณฑ์อายุ
มีขนาดร่างกายสมส่วน คือ มีน้ำหนักและส่วนสูงที่ได้สัดส่วนกัน
กล้ามเนื้อส่วนต่างๆมีความแข็งแรง ลุก - นั่งได้หลายครั้ง ดึงข้อได้หลายครั้ง
มีความอดทนของระบบหายใจและระบบไหลเวียนโลหิตที่ดี
มีความอ่อนตัวที่ดี
มีความคล่องแคล่วในการเคลื่อนไหว
มีความอยากรับประทานอาหารและอยากรับประทานมากๆ ไม่เบื่ออาหาร
มีร่างกายแข็งแรง
มีภูมิต้านทานโรคดี และไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่พิการหรือผิดปกติอื่นๆ
พักผ่อนนอนได้เป็นปกติ

การที่จะบอกได้ว่า บุคคลใดมีสุขภาพจิตดีหรือไม่นั้นต้องสนิทหรือรู้จักกับบุคคลนั้นพอสมควร ถ้ารู้กัน เพียงผิวเผิน คงบอกได้ยากผู้ที่มีสุขภาพจิตดีจะมีลักษณะ ดังนี้

ไม่เป็นโรคจิต โรคประสาท
สามารถปรับตัวให้เข้ากับสังคมและสิ่งแวดล้อมได้
มีสัมพันธ์ภาพที่ดีกับบุคคลอื่นๆ
มีชีวิตมั่นคง ไม่ขัดแย้ง เมื่อที่ใดก็มีความสุข ความสบายใจ
ยอมรับความเป็นจริงเกี่ยวกับตนเอง เข้าใจความแตกต่างระหว่างบุคคล
ยอมรับข้อบกพร่องของตนเอง ให้อภัยข้อบกพร่องข้อคนอื่น
มีความรับผิดชอบ
มีความพึงพอใจกับงานและผลงานของตนเอง พอใจที่จะเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ
แก้ไขความไม่สบายใจ ความคับข้องใจ และความเครียดของตนเองได้
รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ไม่หวาดระแวงผู้อื่นเกินควร
มีอารมณ์มั่นคง เป็นคนอารมณ์ดี มีอารมณ์ขันบ้าง
มีความเชื่อมั่นในตนเอง
สามารถควบคุมความต้องการของตนเองในความเป็นแนวทางที่สังคมยอมรับ
แสดงออกด้วยความรู้สึกสบายๆ
อยู่ในโลกความเป็นจริง สามารถเผชิญกับความจริงได้

ด้วยใจที่รักกัน

ยินดีต้อนรับเข้าสู่ blog ของฉัน รายวิชาอินเตอร์เน็ตและสื่อสารในชีวิตประจำวัน