28 ส.ค. 2555

จิตวิทยาความรัก : อกหัก ให้เป็น < เป็นกำลังใจให้นะ



4                                                    จิตวิทยาความรักอกหักให้เป็น

หลายคนให้นิยามของความรักไว้ต่างๆ นานา เช่น
ความรักคือการให้
ความรักเป็นสิ่งสวยงาม
ความรักคือความซื่อสัตย์” ฯลฯ

แต่หากความรักไม่ได้เป็นอย่างที่หวังไว้ ความรู้สึกผิดหวังในเรื่องความรักก็จะเกิดขึ้น และปรากฏเป็นอาการ
 “
อกหัก” ให้เห็น ซึ่งก็มีหลากหลายคำพูดอีกเช่นกันที่พยายามสื่อให้ “คนอกหัก” ได้มีความรู้สึกที่ดีขึ้น เช่น “อกหักน่ะเรื่องเล็ก อกเล็กสิเรื่องใหญ่บ้างก็ว่า “อกหัก ดีกว่ารักไม่เป็น” “อกหักไม่ยักกะตาย” ฯลฯ
ดังนั้น หากคุณคิดจะรักใครซักคนจึงต้องยอมรับในเบื้องต้นก่อนว่า ครึ่งหนึ่งคือความเสี่ยงที่จะต้องอกหักและอีกครึ่งหนึ่งคือความเป็นไปได้ที่จะมีรักที่มีความสุข เมื่อคิดจะรักก็ต้องยอมรับกับความเสี่ยงที่จะต้องลุ้น และหากเราเป็นพวกที่ต้องทนกินแห้วกระป๋อง ทำอย่างไรไม่ให้ความรักทำให้เราตาบอด ……… จึงต้อง “อกหักให้เป็น
UploadImage  อาการ อกหัก เป็นอย่างไร
สำหรับคนที่ไม่เคยมีความรัก หรือความรัก สุขสมหวัง ก็คงจะไม่รู้จักลักษณะอาการของคำว่า “อกหัก
อาการที่อยู่ๆ ก็เกิดร้องไห้น้ำตาไหลพรากขึ้นมาเฉยๆ ขาดการยับยั้งต่อมน้ำตา สมองไม่สามารถสั่งการหรือใช้ในการประมวลผลเรื่องราวอะไรได้เลย นอกจากจะวนเวียนอยู่กับประโยคคำถามที่ว่า ฉันผิดอะไร” “ทำไมเธอไปจากฉัน” “เรากลับมารักกันอีกได้ไหม
หลับตาก็นึกถึงแต่เรื่องเขา ช่วงนี้ชีวิตจะเหมือนล่องลอยไร้วิญญาณ ไม่รู้สึกรู้สากับสถานการณ์รอบๆตัว เกิดภาวะสับสนทั้งทางด้านอารมณ์และความรู้สึก ใจหวิวๆ รู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน หายใจก็ขัดๆ ปวดท้องแต่ไม่อยากกินข้าวกินปลา ซึ่งอาการต่างๆ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วง อกหัก” นี้ เกี่ยวข้องกับกระบวนการทางเคมีภายในร่างกาย และจะส่งผลต่อภาวะอารมณ์ ความรู้สึก รวมถึงปฏิกิริยาของร่างกายด้วย
UploadImage  ทำไม “อกหัก” จึงรู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน
การที่คนเรารู้สึกเจ็บปวดเมื่อ “อกหัก” อาจเป็นผลมาจากกระบวนการทางเคมีในร่างกาย คือ เวลาที่คนมีความรักสมองจะหลังสารที่เรียกว่า ฟีนิลเอธิลามีน (Phenylethylamine) ซึ่งมีฤทธิ์คล้ายยากระตุ้นประสาทอย่างแอมเฟตามีน สามารถทำให้สมองตื่นตัวและร่างกายมีกำลังมากขึ้น
และเมื่อเกิด อกหัก” อย่างแรง สมองและร่างกายจะสูญเสีย ฟินิลเอธิลามีน” อย่างเฉียบพลัน ซึ่ง ดร.ไมเคิล ไลโบวิตซ์ แห่งสถาบันจิตวิทยานิวยอร์ก อธิบายไว้ว่า อาการ “อกหัก” เพราะรักเป็นพิษนั้นจะคล้ายกับอาการถอนยาอย่างมาก
สารอีกตัวหนึ่งที่ส่งผลต่อความเจ็บปวดเมื่อคนเรา “อกหัก” ก็คือ สารเอ็นโดฟินส์ (Endophins) โดย นพ.สุวินัย บุษราคัมวงษ์ แพทย์สาขาอายุรกรรมสมอง รพ.กล้วยน้ำไท ได้เล่าประสบการณ์จากการสังเกตคนไข้สองกลุ่มที่มีอาการป่วยเดียวกัน และพบว่า คนไข้ที่มีคนรักคอยดูแลอยู่ตลอดเวลาจะมีอัตราการหายป่วยที่เร็วกว่าคนไข้ที่ไม่มีคนรักมาคอยดูแล
อีกกรณีหนึ่ง เชื่อว่า สารเอ็นโดฟินส์” สามารถลดความเจ็บปวดได้ โดยพบว่า ผู้ป่วยที่โดนมีดบาด หากมีคนรักมาคอยปลอบโยนร่างกายจะหลั่งสารเอ็นโดฟินส์ออกมา เพื่อปิดกั้นสัญญาณความเจ็บปวดที่จะส่งถึงสมอง จึงเป็นผลให้ลดความเจ็บปวดลงไปได้
ดังนั้น เมื่อคนเรา อกหัก” จึงเกิดการปรับเปลี่ยนของสารเคมีในร่างกายที่ไม่สมดุล ทำให้แต่ละคนมีการตอบสนองต่อปัจจัยต่างๆ แตกต่างกันออกไปซึ่งก็ขึ้นอยู่กับภูมิหลังการเลี้ยงดู วิถีชีวิตในปัจจุบัน ครอบครัว ภาวะทางสังคม หรือแม้แต่ปริมาณสารเคมีในร่างกาย จึงทำให้บางคนที่ “อกหัก” สามารถที่จะทำใจได้ในเวลาอันรวดเร็ว ขณะที่คน “อกหักจำนวนหนึ่งไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ จึงนำไปสู่การฆ่าตัวตาย
ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่า เมื่อคนเรา “อกหัก” และมีอารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ เกิดขึ้นมานั้น ล้วนส่งผลกระทบต่อปฏิกิริยาของร่างกาย ส่วนจะส่งผลกระทบมากหรือน้อยนั้นก็ขึ้นอยู่กับภาวะการปรับตัวรับกับสภาพการ “อกหัก” ได้มากน้อยเพียงใด
 
UploadImage  อกหักให้เป็น….ทำอย่างไร
เมื่อ อกหัก” หากจะห้ามไม่ให้คนเรารู้สึกรู้สากับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ให้รู้สึกเสียใจ ทุกข์ใจ เศร้า หรือสับสนทางอารมณ์และความคิด คงจะเป็นไปไม่ได้
ดังนั้น จะทำอย่างไรให้ความสับสนทางอารมณ์และความคิดต่างๆ เหล่านั้นไม่เกินเลยจนส่งผลกระทบต่อตนเอง จึงต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับสภาวะการณ์ที่เกิดขึ้นให้ได้ ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นและปรับอารมณ์ ความคิดและพฤติกรรมให้เข้าสู่สภาวะปกติให้เร็วที่สุด 
 
UploadImage  วิธีปรับความคิด อารมณ์ ความรู้สึก รวมถึงพฤติกรรมต่างๆ ให้สามารถรับมือกับภาวะ “อกหัก” ให้ได้ โดยการ อกหักให้เป็นมีดังนี้
1. ถ้าอยากร้องไห้ ….. จงร้องให้เต็มที่
ระบายความรู้สึกเจ็บปวดอย่างสุดแสนออกมาทางน้ำตา อย่าพยายามเก็บกดความรู้สึกเอาไว้ การร้องไห้เป็นการระบายอย่างหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ร่างกายได้มีการปรับความสมดุลทางอารมณ์ให้กลับสู่สภาวะปกติหรือใกล้เคียงปกติมากที่สุด
2. เสียใจได้…..แต่อย่าให้เสียคน
การเสียใจทำให้เราได้รู้ว่า อย่างน้อยเราก็มีหัวใจไว้รักไว้เจ็บ มีความทุกข์ความสุขได้เหมือนคนอื่น ต้องรู้จักควบคุม รู้จักความพอดี อย่าคิดว่าตัวเองไม่มีคุณค่าและอย่าคิดทำร้ายตัวเอง อย่าลืมว่าเรายังมีพ่อแม่ที่รักเรามากที่สุด และเป็นความรักที่ยั่งยืนที่สุดด้วย แล้วคิดเสียว่าก่อนจะมีใครคนนั้นเราสามารถมีชีวิตอยู่มาได้ และเมื่อเขาไปเราก็ต้องอยู่ต่อไปได้เช่นกัน
3. อย่าแบกทุกข์ตามลำพัง กลับไปหา พ่อแม่” ดีที่สุด
พูดคุยกับท่าน ระบายความรู้สึกที่อัดอั้นและเจ็บปวดแสนสาหัสให้ท่านฟัง แล้วเราจะได้รับกำลังใจอันมีค่าที่สุดจากท่าน หรืออาจใช้วิธีเขียนความรู้สึกลงในกระดาษ ซึ่งจะช่วยให้เราเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
4. ปฏิวัติตัวเองเสียใหม่
ยายามปรับปรุงตัวเองในภาพลักษณ์ใหม่ที่ไฉไลและดูดีกว่าเดิม อย่าปล่อยให้ตัวเองหน้าโทรม ผมเผ้ารุงรัง ตาปูด ผอมโซ อย่าให้ชีวิตรักที่ไม่สมหวังมาทำให้ตัวเองต้องจมจ่อมอยู่กับความทุกข์ตลอดเวลา
5. หันเหความสนใจไปทำกิจกรรมอื่นๆ
อย่าเก็บตัว แรกๆ อาจจะต้องฝืนความรู้สึกอยู่บ้าง แต่ถ้าได้ลงมือปฏิบัติแล้ว อารมณ์และความรู้สึกต่างๆ จะดีขึ้น เช่น เล่นกีฬา ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ เป็นต้น
6. ให้คิดเสียว่าประสบการณ์ “อกหัก” เป็นประโยชน์ต่อชีวิต
เพราะมันจะเป็นเหมือนสะพานอีกขั้นหนึ่งให้เราได้ก้าวไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ ให้เราได้ใช้ชีวิตอีกระดับหนึ่ง และกำไรที่เหลืออยู่จากประสบการณ์ “อกหัก” ก็คือ ได้เรียนรู้ว่ารักเป็นอย่างไร ถ้าไม่สุขจนล้นมาเสียก่อนจากการได้รักและถูกรัก แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ็บเจียนตาย นอนน้ำตาไหลพรากเป็นท่อน้ำประปาแตกนั้นมันทุกข์แค่ไหน
แม้ความรักที่ไม่สมหวังทำให้ต้องสูญเสียความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีให้แก่กันไปมากน้อยแค่ไหน หรือแม้กระทั่งทำลายความเป็นตัวของตัวเองให้ลดน้อยไปมากเพียงใดก็ตาม แต่หากเราได้เรียนรู้เพื่อที่จะ อกหักให้เป็นความรักที่ไม่สดใสอาจกลายเป็นโอกาสดีที่จะทำให้เรามองเห็นโลกที่กว้างใหญ่และสวยงามขึ้นกว่าเดิมก็เป็นได้

 
อาจดูว่ามันอ้างว้าง แต่ว่าทางที่เดินก็กว้างพอ … ไม่ต้องรอไปแบ่งกับใคร
...
เอกสารอ้างอิง
มานพ ประภาษานนท์. วิธีคิดกับความเจ็บปวด นิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 28 ฉ.5 (น.84-85). กรุงเทพฯ: บริษัท ก.พล (1996) จำกัด, 2547.
บรรณาธิการ. ปฏิกิริยาแห่งรัก นิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 28 ฉ.2 (น.24). กรุงเทพฯ: บริษัท ก.พล (1996) จำกัด, 2547.
เอ็นโดฟินส์ สารแห่งความรัก บำบัดโรค นิตยสารแพทย์ทางเลือก ปีที่ ฉ.30 (น.48-51). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ฐานการพิมพ์, 2547.
เวปไซต์
http://dnfe5.nfe.go.th/ilp/42009/42009-52.htm
http://www.thaihealth.info/love15.asp
ที่มา งานแนะแนวและจัดหางาน มหาวิทยาลัย ขอนแก่น guidance.kku.ac.th

จิตวิทยาความรัก : อกหัก เจ็บกว่า กระดูกหัก


จิตวิทยาความรัก
อกหักเจ็บหนักกว่ากระดูกหัก นักจิตวิทยาพบ เจ็บช้ำฝังลึกอยู่นาน

นักจิตวิทยาพบว่า คำกล่าวที่ว่า “อกหักไม่ยักตาย” ความจริงอาจจะเบาเกินไป เพราะอกหักเจ็บช้ำฝังลึกยิ่งกว่าบาดเจ็บเพราะกระดูกหักมากกว่ากันนัก

วารสารทางวิชาการ “จิตวิทยา” ของอเมริกา รายงานว่าคณะนักจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเปอร์ดิว ที่รัฐอินเดียนา ได้พบในการศึกษาว่า “ในขณะที่แผลใจและแผลกายต่างก็สร้างความเจ็บปวดได้มาก เมื่อเกิดสดๆได้พอๆกัน แต่แผลใจยังจะกลับมาปวดร้าวขึ้นอีกได้หนแล้วหนเล่า ขณะที่แผลกายจะเจ็บปวดอยู่จนกว่าจะหายดีแล้วเท่านั้น”

นักจิตวิทยาได้ศึกษา โดยการเกณฑ์ผู้ที่มาเป็นอาสาสมัคร ให้เขาเขียนระบายประสบการณ์ ความรู้สึกเจ็บปวดในชีวิตให้ฟังโดยละเอียดว่า มันเกิดขึ้นอย่างไร และรู้สึกเจ็บช้ำอย่างไร

ที่มา ไทยรัฐออนไลน์ [1 ก.ย. 51 - 00:31]

ขอบคุณข้อมูล จิตวิทยาความรัก ดีๆจาก ไทยรัฐออนไลน์

จิตวิทยาความรัก : รักแรก ทำไม ฝังใจ


              จิตวิทยาความรัก : รักแรก ทำไม ฝังใจ
จิ
อานุภาพรักแรกฝังใจชั่วชีวิต สมองขับสารโดปามีนผูกมัดไว้

หนุ่มสาวทั่วไปมักจะเห็นว่าในชีวิตขอให้ได้พบรัก ถึงจะยืดเยื้อหรือไม่ ก็ยังดีกว่าไม่ได้ประสบเลย หากแต่ทำไมมันถึงยากที่จะลืมเลือนมันลงได้ บัดนี้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าพอที่จะรู้สาเหตุแล้ว
นักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยรัฐฟลอริดาแห่งสหรัฐฯ ได้ศึกษาเรื่องนี้ โดยศึกษาจากสมองและพฤติกรรมของหนูนาตัวผู้ ซึ่งเป็นตัวอย่างของการมีรักเดียวใจเดียว เพราะเมื่อมันผสมกับตัวเมียตัวไหนเข้าแล้ว มันก็จะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต ไม่สนใจตัวเมียตัวอื่นอีกเลย แถมยังทำดุเสียด้วยซ้ำ
พวกเขาได้พบว่าเมื่อตัวผู้มีคู่ สมองมันจะหลั่งสารโดปามีน อันเป็นสารสื่อประสาทชนิดหนึ่ง ที่เป็นสารของความเกษมสุขออกมาเป็นอันมาก นักวิจัยแบรนดอน อราโกนา หัวหน้านักวิจัย ได้แสดงให้เห็นว่าสารนั้นเท่ากับเป็นยาเสน่ห์ ด้วยการเอาไปฉีดให้สมองของหนูนาตัวผู้ ที่ยังไม่เคยผสมกับตัวเมียเลย มันก็จะเปลี่ยนนิสัยไปทันที กลับคลุกคลีแต่กับตัวเมียที่เลือกให้ และเลิกสนใจตัวเมียตัวอื่นเหมือนแต่ก่อนเลย

ที่มา หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ปีที่ 56 ฉบับที่ 1749312/13/2005

จิตวิทยาความรัก : ความเข้าใจผิด เกี่ยวกับ ความรัก (Dependency)




จิตวิทยาความรัก
ความเข้าใจผิด เกี่ยวกับ ความรัก
ภาวะ กาฝาก
UploadImage


ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความรัก ที่พบบ่อยที่สุดอย่างหนึ่ง คือ ..
“ถ้ารักกันแล้ว...เราขาดกันไม่ได้"

ยกตัวอย่าง...กรณีที่เราจะพบเสมอ
ทันทีที่รู้ว่า คน(ที่เรา)รัก จากไปสู่ที่ชอบ..ที่ชอบ

คือ..ไปอยู่กับ "คน" ที่เขาชอบมากกว่า "เรา"
และที่ชอบของเขา เป็นที่ไม่ชอบของเรา

ไม่ว่าหญิงหรือชายจะเกิดอาการ กินไม่ได้นอนไม่หลับ ..จะเป็นจะตาย ..
หลายราย ถึงกับสำเร็จความตายด้วยตนเอง คิดว่า เป็นการบูชาความรัก

ตัวอย่าง .. คนไข้สาวรายหนึ่ง แฟนหนุ่ม มีอันต้องจำพรากจากไป...อยู่กับสาวอื่นแทน เธอพรอดพร่ำ รำพัน ต่อหน้าจิตแพทย์

"หนูไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว หนูอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา"
[เธอลืมไปว่า..ก่อนที่จะมีเขา... เธอก็ยังมีชีวิตอยู่ได้]

"หนูรักเขามากค่ะ...คุณหมอคงเข้าใจใช่ไหมคะ ว่าหนูรักเขามากแค่ไหน" ถ้อยคำมากมาย พรั่งพรูจากปากของเธอ

"คุณเข้าใจผิดเสียแล้วล่ะครับ.. คุณไม่ได้รักแฟนคุณหรอก" จิตแพทย์พูดบ้าง หลังจากฟังมานาน

"คุณหมอ หมายความว่ายังไง ...ก็หนูเพิ่งพูดไปแหม่บๆ ว่า ถ้าขาดเขาเสียแล้ว ชีวิตของหนูก็อยู่ไม่ได้” น้ำเสียงเธอ แสดงความไม่พอใจ

จิตแพทย์พยายามอธิบาย “สิ่งที่คุณพูดมาทั้งหมด..ไม่ได้เรียกว่า ความรัก หรอกครับ เขาเรียกว่า ภาวะกาฝากตราบใดที่คุณยังต้องพึ่งใครสักคน เพื่อความอยู่รอดของคุณ .. คุณก็ทำตัวเหมือนพยาธิในลำไส้ของเขา... มันทำให้ชีวิตคุณ ไม่มีทางเลือก และขาดอิสรภาพ มันกลายเป็น.. ภาวะจำเป็น..มากกว่า..ความรัก"

คนไข้สาวช็อค...ไปชั่วขณะ นึกว่าจะได้รับคำปลอบใจ ที่มีคุณภาพสูงกว่าที่เคยได้จากเพื่อนๆ

แต่หมอยังพูดต่อ ทั้งๆ ที่คนไข้กำลังนั่งนิ่งตะลึง ด้วยความงง .. เหมือนจงใจ "ซ้ำเติม" ...แต่นำปัญญา..สู่จิตอันขลาดเขลา

"ความรักที่แท้..ต้องมีอิสรภาพ... คนสองคนจะรักกันได้ ก็ต่อเมื่อ เขาทั้งสอง สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ตามลำพัง อย่างไม่เป็นทุกข์ แต่เขาทั้งสอง ก็เลือกที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน เพื่อความสุขที่มากขึ้น"

เธอใช้เวลาตั้งสติพักหนึ่ง...สีหน้าเริ่มสงบ ...คิ้วขมวดเริ่มผ่อนคลาย รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏที่มุมปาก ก่อนเปล่งวาจา ..

"คำพูดของคุณหมอ เปรียบเสมือนแสงตะวัน...ที่สาดส่อง ทะลุทำลาย กำแพงเมฆหมอก ของดิฉัน...

 
+++

จิตแพทย์ที่กล้าพูดเตือนสติ แทนการพูดปลอบใจท่านนี้ ....คือ Dr.Scott Peck ... ซึ่งได้เขียนบรรยายเหตุการณ์เรื่องนี้ ในหนังสือขายดีชื่อ …The Road Less Traveled

ซึ่งท่านได้ให้แนวคิดเรื่อง.. "ภาวะพึ่งพิง" (Dependency) ไว้ด้วยความหมายว่า ...

เป็นภาวะ ที่เราไม่สามารถดำเนินชีวิต...โดยปราศจาก การดูแลเอาใจใส่ จากบุคคลอื่น ปกติเราอาจต้องพึ่งพิง ขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นในเวลาที่เราได้รับบาดเจ็บ หรือกำลังป่วย

แต่หากเรามีสุขภาพร่างกายที่ดีแล้ว ยังต้องพึ่งพิงผู้อื่นทางจิตใจ เพื่อช่วยให้เราเป็นสุข แสดงว่า... สุขภาพทางจิตของเรา กำลังย่ำแย่ เจ็บป่วย หรือบาดเจ็บ

เวลาที่ผ่านไป.. จะช่วยเยียวยาบาดแผล ให้สมานจนหายสนิท ...พร้อมภูมิต้านทานทางใจ ที่มากขึ้น
 
+++

คนที่มีสุขภาพจิตดี...จะให้ความรักแก่ตัวเองเป็น และดำเนินชีวิตได้ โดยไม่ต้องพึ่งพิงใคร แต่ อาจพึ่งพาอาศัยกันได้ เพราะคนเรา ไม่ได้เก่ง หรือทำเป็นหมดทุกอย่าง

แต่ ถ้าคุณถึงขั้น.. "ขาดเขาไม่ได้" จงอย่าเอาคำว่า  "รักเขามากเหลือเกิน" มาลวงหลอกใจตัวเอง

ยิ่งต้องถึง..คิดฆ่าตัวตาย... ยิ่งแสดงว่า ..."แม้แต่ตัวเอง ...ก็ยังไม่รัก"

หลายคนคิดว่า... ถ้าฉันฆ่าตัวตายจะทำให้เขารู้สึกผิดกับการกระทำของเขาที่ทิ้งเราไป...
คิดเอาว่า.."เขาจะต้องเสียใจ..ไปตลอดชีวิต" คิดอย่างนี้...ส่วนใหญ่ มักตายฟรี!

ปัจจุบัน..ผู้หญิงไทยมีการศึกษา มีการงานและความสามารถไม่แพ้เพศชาย ไม่จำเป็นต้องอาศัยเพศชายเป็นผู้นำของชีวิตเหมือนหญิงไทยสมัยโบราณ   ผู้หญิงทั้งหลายสามารถใช้ชีวิตด้วยตนเองได้ อย่างมีความสุข และภาคภูมิใจ ในเกียรติของผู้หญิง

และหากได้พบชายใด ที่เราเห็นว่า ทำให้ชีวิตเรา มีความสุขมากขึ้น และดีขึ้น กว่าการอยู่คนเดียว ... คุณก็อยู่ในฐานะ ที่มีโอกาสเลือก...

ไม่ใช่ จำเป็นต้องเลือก... หรือ..จำใจเลือกเขา...มาเป็นคู่ชีวิต

จิตวิทยาความรัก : 8 อารมณ์ด้านมืด ที่ทำลาย ความรัก


จิตวิทยาความรัก
8 อารมณ์ด้านมืด ที่ทำลายความรัก
เราทุกคนต่างมีด้านของอารมณ์ที่ไร้เหตุผลและบ่อนทำลายตัวเอง และด้านมืดนี้อาจทำลายความรักของคุณในแบบที่คุณไม่รู้ตัวก็ได้ และนี่คือลักษณะที่พบกันบ่อยที่สุด ซึ่งอาจส่งผลร้ายต่อสัมพันธภาพของคุณได้
1. คุณชอบนับแต้ม
การแข่งขันสามารถทำให้ชีวิตรักกลายเป็นสนามรบอันเลวร้ายได้อย่างรวดเร็ว คุณจะเป็นผู้ชนะได้อย่างไร ถ้าต้องจ่ายด้วยราคาที่ทำให้คนที่คุณรักต้องเป็นผู้แพ้ สัมพันธภาพที่แข็งแกร่งต้องสร้างอยู่บนความเสียสละและความห่วงใยกัน ไม่ใช่ด้วยอำนาจและการควบคุม การแข่งขันอาจทำให้ความรื่นรมย์ ความมั่นใจและความงอกงามหดหายไปจากสัมพันธภาพ
2. คุณชอบจับผิด
ไม่มีอะไรผิดกับการวิจารณ์ในเชิงสร้างสรรค์หรือชี้แนะ เพื่อให้สัมพันธภาพดีขึ้น แต่บ่อยครั้งมันมักกลายพันธุ์เป็นเรื่องของการจับผิด ที่คุณหมกมุ่นอยู่กับข้อบกพร่องและความไม่สมบูรณ์แบบ แทนการหาคุณค่าในตัวของคุณ เลิกตามจิกเขาเสียทีแล้วคุณจะเห็นอะไรที่ดีๆ ในตัวเขามากขึ้น
3. คุณต้องถูกเสมอ
ถ้าคุณคิดเช่นนั้น ก็เท่ากับคุณพร้อมที่จะต่อสู้จนตัวตาย และจนกระทั่งสัมพันธภาพของคุณต้องสิ้นสุดลงไปด้วย
4. คุณชอบโจมตี
เวลาเถียงกันทีไร คุณก็จะกลายเป็นนักฆ่าขึ้นมาทันที ด้วยน้ำเสียงและถ้อยคำอันเชือดเฉือน มันอาจได้ผลประโยชน์ในระยะสั้น แต่เป้าหมายของการโจมตีกันนี้ จะกลายเป็นความขมขื่นและขุ่นข้องหมองใจ และทำให้มันยากขึ้นที่จะแก้ไขผลเสียที่ตามมา
5. คุณไม่จริงใจ
เพราะคุณขาดความกล้าที่จะตรงไปตรงมาในสิ่งที่ทำให้เกิดความเจ็บปวด และปัญหาในสัมพันธภาพของคุณคุณวิจารณ์คู่รักของคุณในเรื่องหนึ่ง ทั้งที่คุณไม่พอใจหรือหงุดหงิดใจในอีกเรื่องหนึ่งมากกว่า สิ่งที่เป็นจริงไม่เคยถูกเผยออกมา และสิ่งที่พูดออกมาก็ไม่เคยเป็นเรื่องจริง ประเด็นที่แท้จริงจะค่อยๆ ระเบิดออกมาในท้ายที่สุด ในแบบที่เลวร้าย
6. คุณไม่เคยให้อภัย
คุณเก็บกักตัวเองอยู่กับความเจ็บปวดและขมขื่น และพลังงานในแง่ลบก็อาจอัดแน่นอยู่ในทุกมุมของหัวใจ ถ้าคุณกลืนความขุ่นข้องหมองใจเอาไว้และปฏิเสธที่จะให้อภัย คุณก็จะทำลายชีวิตทั้งของตัวเองและสัมพันธภาพของคุณ คุณไม่อาจเปลี่ยนอดีตได้ แต่คุณสามารถรับมือกับผลของความรู้สึกและความเจ็บปวดได้ด้วยการให้อภัยอย่างแท้จริง
7. คุณถมไม่เต็ม
คุณดูจะไม่เคยได้รับความพึงพอใจความรัก ความใส่ใจมากพอหรือเปล่า คู่ของคุณจะหงุดหงิดที่ดูเหมือนจะไม่เคยเติมเต็มคุณได้เลย และความกระหายที่ไม่เคยเต็มอิ่มจะทำให้คู่ของคุณไม่เคยได้หยุดพักปล่อยตัวเองจากความรู้สึกไม่เพียงพอ และหาหนทางอื่นที่จะรู้สึกถึงคุณค่าของตัวเองเสียก่อน
8. คุณยอมแพ้
เมื่อมีแต่เรื่องเลวร้ายล้อมรอบชีวิตของคุณ คุณอาจนึกหาทางออกไม่เจอ คุณจะสิ้นหวังเหงาหงอย และเชื่อว่าคุณติดกับดักจงเข้มแข็งพอที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาแทนที่จะยอมแพ้
ที่มา lisamagazine.com, kapook.com

จิตวิทยาความรัก : เมื่อรักเขาข้างเดียว


จิตวิทยาความรัก
 เมื่อรักเขาข้างเดียว

บทความจาก กรม
สุขภาพจิต

UploadImage

 
ปัญหาความรักหนักอก อันเกิดจากความรักที่ไม่สมหวัง มันช่างรบกวนจิตใจของคุณทำให้ คุณต้องกินไม่ได้นอนไม่หลับ ไม่มีสมาธิในการเรียน อยากอยู่คนเดียว บางครั้งอยากทำลายคนที่ทำให้เรา ผิดหวัง หรืออยากทำร้ายตัวเอง อย่าทำให้ความคิดเหล่านี้มารบกวนจิตใจของคุณเลย ลองมาหาวิธีแก้ไข กันดีกว่าดังนี้
ถ้าคุณรักเขาแต่เขาไม่รักคุณ แน่นอนคุณต้องรู้สึกเสียใจที่ทุ่มเทความรักให้เขาแต่เขากลับ ทำให้คุณต้องผิดหวัง บางครั้งทำให้คุณรู้สึกว่าตัวเองคงไม่ดี ไม่มีค่าอะไร

เมื่อความรู้สึกนี้เข้ามาขอให้คุณ ตั้งสติให้ดี สร้างความเข้มแข็งให้ตัวเอง บอกตัวเองว่าคุณยังมีค่าสำหรับคนอื่นๆ เสมอ เช่น พ่อแม่ พี่น้อง ยังมีเพื่อนที่เข้าใจคุณอีกมากมาย อนาคตของคุณก็ยังก้าวไปอีกไกล และคุณอาจพบคนที่รักคุณอย่างจริงใจ และอาจดีกว่าคนที่ทำให้คุณผิดหวังเสียด้วยซ้ำไป
สำหรับปัญหารักข้ามรุ่นส่วนใหญ่แล้ว จะเกิดจากความรู้สึกหลงใหลชั่วคราวเสียมากกว่า เช่น คุณอาจไปแอบหลงรักรุ่นพี่ ครู-อาจารย์ เพราะเขาเป็นคนน่าประทับใจ

การแอบรักคงไม่ใช่เรื่องเสียหาย ถ้าไม่ทำอะไรเลยเถิดจนเกินไป เพราะถ้าคุณไม่ระวังตัว คุณอาจไปเจอคนไม่ดีที่ฉวยโอกาสจากคุณ

พยายาม ตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด สำหรับเรื่องความรักค่อยๆ พิจารณาเลือกคนที่ เหมาะสมกับคุณไปเรื่อยๆ ไม่ต้องรีบร้อน เพราะคุณยังคงมีโอกาสและเวลาอีกมากมายที่จะเลือกคนดี ๆ
ถ้าคุณคิดว่ายังทำใจไม่ได้ ต้องการคำแนะนำมากกว่านี้ขอให้ติดต่อได้ที่หมายเลข 02-526-3342 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
โดย: คุณอัมพร หัสศิริ - นักจิตวิทยา 8 ศูนย์ส่งเสริมพัฒนาการเด็กภาคเหนือ 

ขอบคุณข้อมูล สุขภาพจิต และ จิตวิทยาความรัก จาก กรมสุขภาพจิต


ทดสอบความรักแบบจิตวิทยา

ดูดวง-ทายนิสัย

เริ่มจากอ่านคำถามแล้ว ดูตัวเลือก อันไหนแว้บตรงใจเป็นอันแรก ก็เลือกอันนั้นเลยครับ จดคำตอบไว้ แล้วลากลงไปดูเฉลยข้างล่างได้เลย

1. ถ้าแม่ใช้ให้ไปซื้อของ คิดว่าแม่ใช้ให้ไปซื้ออะไร

A นม
B ขนมปัง
C เค้ก
D หนังสือพืมพ์

2. ถ้าคุณวิ่งหนีหมาตัวหนึ่ง เหตุผลคือ 

A. กลัวมันน่ะสิ…ถามได้
B. กลัวว่าน้องหมาจะแย่งของกินที่ถือมา
C. เล่นกับมัน “เก่งจริงวิ่งตามมาสิ”

3. ถ้าวิ่งหนีหมาตัวนั้นจนมาเจอกำแพงสูง จะทำยังไง

A. ลอดช่องเล็กๆ ที่กำแพงออกไป
B. ปีนบันไดข้ามไปสิ
C. มองหาประตูก่อนเลย

4. มองไกลไปหลังแนวป่า คุณคิดว่าจะเป็นปราสาทแบบไหน 

A. ปราสาทสวยเหมือนออกจากหนังสือดีไซน์
B. ปราสาทหินโบราณ
C. ปราสาทที่ส่องระยิบระยับ

5. คุณเข้าป่าเดินทางไปที่ปราสาทหลังนั้น คุณคิดว่าที่ป่านั้นจะเจอกับสัตว์อะไร 

A กระรอก
B กวาง
C หมี
D เสือ

6. ถึงหน้าประตูประสาท ข้อความบนป้ายคุณคิดว่าเขียนไว้ว่ายังไง 

A. เข้าได้เฉพาะผู้หญิง
B. ค่าผ่านประตู 30 บาท
C. ห้ามเข้า!
D. ยินดีต้อนรับ

7. ในปราสาทมืดมากกกกก แต่จู่ๆ มีกลิ่นหนึ่งโชยมา คุณคิดว่าจะเป็นกลิ่นแบบไหน 

A. กลิ่นหอมน่ากินของพายแอ๊ปเปิล
B. กลิ่นกายของใครสักคน
C. กลิ่นน้ำหอม










เฉลย


1. คุณเป็นคนแบบไหน 

A เป็นคนเงียบๆ ชอบอยู่คนเดียว มีอะไรก็มักจะเก็บไว้ในใจ อ่อนไหว และช่างฝัน
B เป็นสาวสังคม ชอบทำงาน มีความมั่นใจ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ดูท้าทายไปหมด
C เป็นคนสดใส ร่าเริง นำแฟชั่น อยู่ที่ไหนเป็นต้องเด่น ไม่เด่นเมื่อไหร่ กลุ้มใจเมื่อนั้น
D เป็นคนรักครอบครัวมากกก ระหว่างไปเที่ยวกับเพื่นกับอยู่กับครอบครัว คุณเลือกอยู่กับครอบครัวชัวร์ๆเลย คุณปลื้มครอบครัวของคุณอย่างกับอะไรดี

2. รูปแบบความรักที่คุณปรารถนา 

A คุณปรารถนาความรักที่น่ารัก กุ๊กกิ๊ก หวานใส่กันทุกวันHappy!! B รักที่คุณต้องการต้องเคารพนับถือกันได้ ถ้าเขาไม่มีดีให้ทึ่ง คุณก็ไม่รักเขาหรอก
C คุณปรารถนารักแบบเพื่อนที่เปิดอกคุยกันได้ทุกเรื่อง

3. คุณตั้งหน้าตั้งตารอ “รัก” อยู่หรือเปล่า 

A คุณกำลังตั้งหน้าตั้งตารอ “รัก” สุดๆ วันหนึ่ง…ถ้ามีความรักกะเขาก็สนุกล่ะ!
B คุณไม่ค่อยแฮปปี้กับเรื่องรักเท่าไหร่นัก เพราะเข็ดขยาดกับรักที่ผ่านมา มีรักใหม่เข้ามาก็ยังหวั่นๆ ไม่กล้าเปิดใจตัวเอง
C คุณเชื่อเรื่องพรหมลิขิต ถึงเวลาความรักก็มาเองล่ะ ไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตารอเล้ยยย แต่ละวันไม่เคยคิดเรื่องรักๆ หรอก

4. สิ่งที่คุณอยากได้ตอนนี้ 

A คุณอยากให้ใครๆ อิจฉาและทึ่งในตัวคุณ คุณอยากจะเก่งและโดดเด่นในสายตาคนอื่น
B คุณอยากให้ทุกคนเห็นความตั้งใจจริงของคุณ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือการคบเพื่อน “ใจ” สำคัญสำหรับคุณมาก
C เงินคือสิ่งที่คุณปรารถนา ถ้ามีเงินมากคุณก็จะรู้สึกมั่นใจได้

5. คนที่คุณปรารถนา 

A คุณมั่นใจว่าคุณเป็นคนเก่ง ขืนเขาเก่งด้วยทะเลาะกันตายเยย ชอบคนว่านอนสอนง่าย
B คุณปรารถนาคู่รักแบบเพื่อน คุยกันได้ทุกเรื่อง มีสิทธิ์เท่าเทียมกัน ไม่มีใครนำใคร อย่างนี้แหละแจ๋ว!!
C คุณชอบคนที่เข้มแข็ง ปกป้องได้
D คุณชอบคนเก่ง ฉลาด เป็นผู้นำ เพราะคุณขี้อ้อนชอบเป็นผู้ตาม

6. ความพึงพอใจในตัวเอง 

A คุณพึงพอใจในตัวเองมากกกก เรียกว่าหลงตัวเองเลยล่ะ ชอบแต่คำชม ห้ามติเด็ดขาด
B คุณจะพอใจในตัวเองก็ต่อเมื่อคุณทำตัวให้มีคุณค่า เช่น ทำงานได้ดี เรียนเก่ง คุณมักจะไม่ชอบตัวเองมากๆ ถ้าทำอะไรผิดพลาด
C คุณไม่พอใจตัวเองเอาซะเลย อย่างนี้ไม่ดีๆ คุณต้องพึงพอใจตัวเองบ้าง ถึงจะมั่นใจและมีความสุขได้
D คุณพอใจตัวเองโดยธรรมชาติ ไม่ต้องเด่น ไม่ต้องเก่ง เป็นอย่างนี้ก็แฮปปี้ดีแล้ว

7. จุดอ่อนของคุณ 

A คุณแพ้ลูกอ้อน ลองถ้าแฟนอ้อนคุณว่า “เหงาจัง… อยู่ด้วยกันนะ” รับรองว่าคุณจะปฏิเสธไม่ออก
B คุณแพ้ความโรแมนติก ถ้าเขาจู่โจมเข้ามากอดคุณด้วยท่าทางซาบซึ้ง ต่อให้โกรธแค่ไหนก็ใจอ่อน
C คุณแพ้บรรยากาศ ถ้าเขาสร้างบรรยากาศดีๆ พาคุณไปที่ดีๆ ที่เขาไปทำเจ้าชู้กับใครๆ ลืมหมด! เฮ้อออ 

จิตวิทยาความรัก : ความเข้าใจผิด เกี่ยวกับ ความรัก ♥ (Dependency)


จิตวิทยาความรัก : ความเข้าใจผิด เกี่ยวกับ ความรัก ♥ (Dependency)

จิตวิทยาความรัก

ความเข้าใจผิด  เกี่ยวกับ ความรัก  :19:
ภาวะ...”กาฝาก”





ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความรัก  ที่พบบ่อยที่สุดอย่างหนึ่ง คือ .. “ถ้ารักกันแล้ว...เราขาดกันไม่ได้"  ยกตัวอย่าง...กรณีที่เราจะพบเสมอ
ทันทีที่รู้ว่า  คน(ที่เรา)รัก จากไปสู่ที่ชอบ..ที่ชอบ
คือ..ไปอยู่กับ "คน"  ที่เขาชอบมากกว่า "เรา"
และที่ชอบของเขา เป็นที่ไม่ชอบของเรา 
ไม่ว่าหญิงหรือชายจะเกิดอาการ กินไม่ได้นอนไม่หลับ ..จะเป็นจะตาย .. 
หลายราย ถึงกับสำเร็จความตายด้วยตนเอง คิดว่า  เป็นการบูชาความรัก


ตัวอย่าง .. คนไข้สาวรายหนึ่ง
แฟนหนุ่ม  มีอันต้องจำพรากจากไป...อยู่กับสาวอื่นแทน
เธอพรอดพร่ำ รำพัน ต่อหน้าจิตแพทย์  
"หนูไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว  หนูอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา" [เธอลืมไปว่า..ก่อนที่จะมีเขา... เธอก็ยังมีชีวิตอยู่ได้]  "หนูรักเขามากค่ะ...คุณหมอคงเข้าใจใช่ไหมคะ  ว่าหนูรักเขามากแค่ไหน" ถ้อยคำมากมาย  พรั่งพรูจากปากของเธอ 

"คุณเข้าใจผิดเสียแล้วล่ะครับ..  คุณไม่ได้รักแฟนคุณหรอก"
จิตแพทย์พูดบ้าง  หลังจากฟังมานาน

"คุณหมอ หมายความว่ายังไงคะ ... 
ก็หนูเพิ่งพูดไปแหม่บๆ ว่า ถ้าขาดเขาเสียแล้ว ชีวิตของหนูก็อยู่ไม่ได้”
 
น้ำเสียงเธอ แสดงความไม่พอใจ..

จิตแพทย์พยายามอธิบาย “สิ่งที่คุณพูดมาทั้งหมด..
ไม่ได้เรียกว่า  ความรักหรอกครับ เขาเรียกว่า 
ภาวะกาฝาก  ตราบใดที่คุณยังต้องพึ่งใครสักคน เพื่อความอยู่รอดของคุณ .. 
คุณก็ทำตัวเหมือนพยาธิในลำไส้ของเขา...
มันทำให้ชีวิตคุณ 
ไม่มีทางเลือก และ ขาดอิสรภาพ  มันกลายเป็น.. ภาวะจำเป็น..มากกว่า..ความรัก

คนไข้สาวช็อค...ไปชั่วขณะ

นึกว่าจะได้รับคำปลอบใจ  ที่มีคุณภาพสูงกว่าที่เคยได้จากเพื่อนๆ ....
แต่หมอยังพูดต่อ... ทั้งๆ  ที่คนไข้กำลังนั่งนิ่งตะลึง ด้วยความงง ..
เหมือนจงใจ "ซ้ำเติม"  ...แต่นำปัญญา..สู่จิตอันขลาดเขลา


"ความรักที่แท้..ต้องมีอิสรภาพ...  คนสองคนจะรักกันได้...
ก็ต่อเมื่อ..เขาทั้งสอง 
สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ตามลำพัง อย่างไม่เป็นทุกข์ 
แต่เขาทั้งสอง 
ก็เลือกที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน  เพื่อความสุขที่มากขึ้น"

เธอใช้เวลาตั้งสติพักหนึ่ง...
สีหน้าเริ่มสงบ ...คิ้วขมวดเริ่มผ่อนคลาย 
รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏที่มุมปาก.. ก่อนเปล่งวาจา .. 
"คำพูดของคุณหมอ เปรียบเสมือนแสงตะวัน...
ที่สาดส่อง  ทะลุทำลาย กำแพงเมฆหมอก ของดิฉัน...


-------------


จิตแพทย์ที่กล้าพูดเตือนสติ  แทนการพูดปลอบใจท่านนี้ ....คือ Dr.Scott Peck ... 
ซึ่งได้เขียนบรรยายเหตุการณ์เรื่องนี้ ในหนังสือขายดีชื่อ …The Road Less  Traveled
ซึ่งท่านได้ให้แนวคิดเรื่อง.. "ภาวะพึ่งพิง" (Dependency) 
ไว้ด้วยความหมายว่า ...
เป็นภาวะ ที่เราไม่สามารถดำเนินชีวิต... 
โดยปราศจาก การดูแลเอาใจใส่ จากบุคคลอื่น
ปดติเราอาจต้องพึ่งพิง  ขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น
ในเวลาที่เราได้รับบาดเจ็บ หรือกำลังป่วย 
แต่หากเรามีสุขภาพร่างกายที่ดีแล้ว... 
ยังต้องพึ่งพิงผู้อื่นทางจิตใจ..เพื่อช่วยให้เราเป็นสุข
แสดงว่า...  สุขภาพทางจิตของเรา กำลังย่ำแย่ เจ็บป่วย หรือบาดเจ็บ
เวลาที่ผ่านไป..  จะช่วยเยียวยาบาดแผล ให้สมานจนหายสนิท ...
พร้อมภูมิต้านทานทางใจ ที่มากขึ้น 

---------------


คนที่มีสุขภาพจิตดี... 
จะให้ความรักแก่ตัวเองเป็น และดำเนินชีวิตได้  โดยไม่ต้องพึ่งพิงใคร
แต่ อาจพึ่งพาอาศัยกันได้ เพราะคนเรา ไม่ได้เก่ง  หรือทำเป็นหมดทุกอย่าง
แต่ ถ้าคุณถึงขั้น.. "ขาดเขาไม่ได้"
จงอย่าเอาคำว่า  ... "รักเขามากเหลือเกิน" … มาลวงหลอกใจตัวเอง 
ยิ่งต้องถึง..คิดฆ่าตัวตาย... ยิ่งแสดงว่า ..."แม้แต่ตัวเอง  ...ก็ยังไม่รัก
หลายคนคิดว่า..ถ้าฉันฆ่าตัวตายจะทำให้เขารู้สึกผิดกับการกระทำของเขาที่ทิ้งเราไป... 
คิดเอาว่า.."เขาจะต้องเสียใจ..ไปตลอดชีวิต" คิดอย่างนี้...ส่วนใหญ่ มักตายฟรี 
ปัจจุบัน..ผู้หญิงไทยมีการศึกษา  มีการงานและความสามารถไม่แพ้เพศชาย ... 
ไม่จำเป็นต้องอาศัยเพศชายเป็นผู้นำของชีวิต เหมือนหญิงไทยสมัยโบราณ... 
ผู้หญิงทั้งหลาย จึงสามารถใช้ชีวิตด้วยตนเองได้ อย่างมีความสุข.. 
และภาคภูมิใจ..ในเกียรติของผู้หญิง
และหากได้พบชายใด ที่เราเห็นว่า  ทำให้ชีวิตเรา มีความสุขมากขึ้น..
และดีขึ้น กว่าการอยู่คนเดียว ...  คุณก็อยู่ในฐานะ ที่
มีโอกาสเลือก...
ไม่ใช่  จำเป็นต้องเลือก... หรือ..จำใจเลือกเขา...มาเป็นคู่ชีวิต

------------- 

ขอกล่าวทวนประโยคเดิม...

ที่จิตแพทย์ Dr.Scott Peck พูดกับคนไข้...

"Love  is the free exercise of choice.

Two people 
Love :19: each other o­nly

when they are quite capable of living

without each  other

but choose to live with each  other"

...

[float=right] ที่มา Forwarded e-mail [/float]


พัฒนาการทางด้านสังคมจิตวิทยาของวัยรุ่น

พัฒนาการทางด้านสังคมจิตวิทยาของวัยรุ่นPsychosocial Development in Adolescent )
โดย : นพ. วิโรจน์ อารีย์กุล วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า

วัยรุ่นเป็นวัยช่วงต่อระหว่างวัยเด็กและวัยผู้ใหญ่เป็นช่วงระยะเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านการเจริญเติบโตทางด้านร่างกาย ลักษณะที่บ่งบอกถึงความเป็นหนุ่มสาว ขณะเดียวกันพัฒนาการทางด้านอารมณ์ สังคมและจิตใจก็เปลี่ยนแปลงไปด้วยแต่เป็นไปในลักษณะที่ไม่ค่อยสอดคล้องหรือเหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงด้านร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดความสับสน ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ขาดความยับยั้งชั่งใจ ขาดประสบการณ์ ทำให้วัยรุ่นตัดสินใจกระทำหรือมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมโดยไม่ได้คำนึงถึงผลเสียที่เกิดขึ้นตามมาจากการกระทำของตน และช่วงวัยรุ่นถือว่าเป็นช่วงระยะเวลาที่มีปัญหาทางด้านจิตสังคม อารมณ์และพฤติกรรมเสี่ยงมากกว่าช่วงอายุอื่นๆ (1) ทำให้มีผลกระทบต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
วัยรุ่นเป็นระยะของการเปลี่ยนแปลงพัฒนาการทางด้านสรีระของร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคมไปพร้อมๆ กัน ซึ่งพัฒนาการบางอย่างได้ดำเนินการมาก่อนบ้างแล้วในช่วงระยะก่อนวัยรุ่นและกระบวนการพัฒนาการในด้านต่างๆ ยังมีการดำเนินการต่อไป ถึงแม้จะมีการเจริญเติบโตทางด้านร่างกายเต็มที่แล้ว (2) ขบวนการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการต่างๆ โดยเฉพาะพัฒนาการทางด้านสังคมจิตวิทยาของวัยรุ่น มีลักษณะเฉพาะที่เราควรจะต้องคำนึงถึง คือ
1. ไม่มีการพัฒนาการหรือการเปลี่ยนแปลงอะไรที่ดีที่สุดหรือมีแผนเฉพาะหรือเหมาะสมสำหรับวัยรุ่นทุกคน เพราะวัยรุ่นแต่ละคนในแต่ละชุมชน สังคม เชื้อชาติต่าง ๆ ก็มีความหลากหลาย แตกต่างกันไปไม่ว่าจะเป็นทางด้านพื้นฐานทางด้านสิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรมและค่านิยมต่าง ๆ
2. การเปลี่ยนแปลงทางด้านสรีระวิทยา อารมณ์ และพัฒนาการในด้านต่างๆ ไม่สอดคล้องหรือไปด้วยกัน จะเห็นได้ชัดเจนว่าในปัจจุบันนี้การเจริญเติบโตทางด้านร่างกาย การเข้าสู่การเป็นหนุ่มสาว เร็วกว่าในอดีตที่ผ่านมา ขณะที่พัฒนาการทางด้านความคิดและการตัดสินใจอย่างมีเหตุผลแบบผู้ใหญ่ต้องใช้เวลา ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในวัยรุ่นช่วงปลาย ( อายุ 18-21 ปี ) หรือหลังจากนี้ (3) จึงจะมีการพัฒนาการในด้านนี้ได้สมบูรณ์มีการคิดและการตัดสินใจอย่างมีเหตุผลทำให้วัยรุ่นถูกมองจากภายนอกว่าเป็นผู้ใหญ่แต่การกระทำหรือการแสดงออกยังเป็นแบบเด็กๆ อยู่
3. วัยรุ่นเป็นช่วงระยะเวลาที่ไม่มั่นคง มีความอ่อนไหวทางด้านจิตใจและอารมณ์ค่อนข้างมาก จนมีผู้ให้วัยรุ่นเป็นช่วงระยะเวลาที่เรียกว่า Normal Psychosis ถึงแม้จะมีผันผวนหรือมีความผิดปกติบ้างในบางโอกาส แต่วัยรุ่นส่วนใหญ่ก็สามารถแก้ไขปัญหาผ่านพ้นภาวะวิกฤตต่างๆ ในระยะวัยรุ่นไปได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ (2) ในการที่เราจะใช้หลักเกณฑ์อะไรอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียวในการที่จะบอกว่าเด็กเข้าสู่วัยรุ่นแล้วนั้น บางครั้งก็อาจจะไม่ถูกต้องเหมาะสมทั้งหมด ตัวอย่างเช่น เราใช้อายุเป็นตัวกำหนด แต่ในปัจจุบันก็จะเห็นว่าเด็กเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เร็วกว่าเดิมโดยเฉพาะเด็กผู้หญิงและมีพฤติกรรมทางเพศเร็วขึ้น จากการศึกษานักศึกษาชายไทยในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคพบว่าเคยมีเพศสัมพันธ์ถึงร้อยละ 33-68.5 และนักศึกษาหญิงเคยมีเพศสัมพันธ์ถึงร้อยละ 4.2-25.4 (4) หรือใช้การเจริญเติบโต การเปลี่ยนแปลงของร่างกายเมื่อเข้าวัยหนุ่มสาว ก็คงจะไม่ถูกต้องทั้งหมดเพราะเด็กยังมีพัฒนาทางด้านความคิด การตัดสินใจเป็นแบบเด็กอยู่ ฉะนั้นเราควรจะได้ใช้ตัวบ่งชี้หลายๆ อย่าง มาใช้ประกอบร่วมกัน ไม่ว่าอายุ การเจริญเติบโต การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เมื่อเข้าวัยหนุ่มสาว และพัฒนาการทางด้านต่างๆ เช่น อารมณ์ จิตสังคม ฯลฯ ก็จะทำให้เราเข้าใจและประเมินบอกได้ว่าเขาเข้าสู่วัยรุ่นระยะไหนได้เหมาะสมถูกต้องมากขึ้น เพราะในการให้การดูแลและให้คำปรึกษาแก่เด็กวัยรุ่นนั้นถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องมีการปรับรูปแบบและวิธีการให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโต การพัฒนาการในด้านต่างๆ รวมถึงวุฒิภาวะของวัยรุ่นด้วย
ปัจจุบัน สังคม สิ่งแวดล้อม สื่อต่างๆ เข้ามามีบทบาทต่อการพัฒนาการทางด้านสังคมจิตวิทยาของวัยรุ่นอย่างมาก โดยเฉพาะสื่อ นักวิชาการบางคนให้ความสำคัญและมีบทบาทมากกว่ากลุ่มเพื่อน ที่เรียกว่า Super Peer สื่อเป็นตัวกลางสำคัญที่ให้ข้อมูลข่าวสารแก่เด็กและวัยรุ่น โดยเฉพาะเด็กที่อายุต่ำกว่า 8 ปี ไม่สามารถแยกเรื่องจริงออกจากเรื่องสมมติได้ (5) เด็กยังขาดเหตุผล ทำให้เขามีพฤติกรรมเรียนแบบ ระยะวัยรุ่นการพัฒนาการทางด้านอารมณ์ จิตใจ และพฤติกรรมต่างๆ มีความสำคัญมากกว่าการเจริญเติบโต การเปลี่ยนแปลงของร่างกายและอวัยวะต่างๆ เนื่องจากปัญหาของวัยรุ่นส่วนใหญ่เป็นปัญหาทางด้านอารมณ์ จิตใจ และพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ ซึ่งจะนำไปสู่การเจ็บป่วยและสาเหตุการตายของวัยรุ่นที่สำคัญ
พัฒนาการทางด้านสังคมจิตวิทยา ในวัยรุ่น แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้
1. ระยะวัยรุ่นตอนต้น อายุประมาณ 10 – 13 ปี
2. ระยะวัยรุ่นตอนกลาง อายุประมาณ 14 – 17 ปี
3. ระยะวัยรุ่นตอนปลาย อายุประมาณ 17 – 21 ปี
การเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาการในด้านต่าง ๆ ในช่วงระยะวัยรุ่นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติที่เด็กทุกคนเมื่อจะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่จะต้องผ่านขบวนการต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญและต้องเรียนรู้ ฉะนั้นตัววัยรุ่นเองรวมถึงพ่อแม่ ผู้ปกครอง บุคลากรต่างๆ รวมทั้งแพทย์ที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับวัยรุ่นควรจะได้มีความเข้าใจในสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ตัวอย่างเช่น ในด้านการเจริญเติบโตทางด้านร่างกายของเด็กจะมีกลุ่มเด็กที่มีการเจริญเติบโตเร็วและกลุ่มที่มีการเจริญเติบโตช้า แต่ในที่สุดทั้ง 2 กลุ่มก็จะสามารถเจริญเติบโตได้ทันกันในที่สุด (6) แต่จะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนเต็มตามศักยภาพหรือไม่คงจะขึ้นกับปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น พันธุกรรม การเลี้ยงดู ภาวะโภชนาการ ปัญหาสุขภาพของร่างกาย สังคมและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ฯลฯ
ระยะวัยรุ่นช่วงต้น
เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย มีการเจริญเติบโตมีการเพิ่มขนาดความสูง น้ำหนัก ขณะเดียวกันก็มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านสรีระวิทยาเป็นวัยหนุ่มสาว เข้าสู่วัยเจริญพันธ์ ซึ่งในปัจจุบันจะพบว่าทั้งเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงจะมีอายุเข้าสู่วัยหนุ่มสาวเร็วมากขึ้น โดยเฉพาะในเด็กผู้หญิงที่ค่อนข้างสมบูรณ์และอ้วนจะมีประจำเดือนตั้งแต่อายุ 8-9 ปี ลักษณะภายนอกที่เราสามารถตรวจพบเห็นเป็นอันดับแรกเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นของเด็กผู้หญิงคือ การเริ่มมีหน้าอก ที่เรียกว่า Breast bud ในเด็กผู้ชายคือลูกอัณฑะที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น โดยปกติทั่วไปเด็กผู้หญิงจะเข้าสู่วัยรุ่นเร็วกว่าเด็กผู้ชายเฉลี่ยประมาณ 2 ปี (6) เด็กเมื่อเข้าวัยรุ่นจะมีความกังวลและสงสัยในเรื่องเหล่านี้ค่อนข้างมาก สงสัยว่าสิ่งที่ตัวเองเป็นปกติเหมือนคนอื่นหรือไม่และมักจะเอาไปเปรียบเทียบกับเพื่อนๆ สงสัยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย อวัยวะต่างๆ รวมถึงความรู้สึก อารมณ์ที่เกี่ยวกับเรื่องเพศ ความเป็นหนุ่มสาว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการมีประจำเดือน เต้านม ความรู้สึกทางเพศ การแข็งตัวของอวัยวะเพศ การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง ขนาดและลักษณะของอวัยวะสืบพันธุ์ทั้ง 2 เพศ บางครั้งเราจะเห็นว่าเด็กสนใจแอบดูหนังสือหรือเวบต์ไซด์ลามกต่างๆ โดยไม่ให้พ่อแม่รู้เนื่องจากสังคมไทยส่วนใหญ่ยังมองเรื่องเพศเป็นสิ่งที่ปกปิด เรื่องลับ ยังมองเรื่องเพศไปในทางลบซึ่งในความเป็นจริงเพศเป็นเรื่องของธรรมชาติ เป็นสิ่งที่เด็กเมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ต้องมีการเรียนรู้แลพัฒนาการในเรื่องเพศอย่างถูกต้องเหมาะสม ในระยะวัยรุ่นช่วงต้นวัยรุ่นบางคนอาจจะมีประสบการณ์ทางเพศและมีเพศสัมพันธ์เกิดขึ้นในช่วงนี้แต่พบได้เป็นส่วนน้อย
เมื่อเด็กเริ่มเข้าวัยรุ่นจะให้ความสนใจกับกิจกรรมในครอบครัวหรือเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ กับพ่อแม่น้อยลงและเริ่มจะไม่ค่อยยอมรับคำแนะนำและคำติชมจากพ่อแม่ พ่อแม่มักจะพบว่าเด็กที่เคยน่ารัก เชื่อฟัง เริ่มต่อต้านและฝ่าฝืนคำสั่งบ้าง แต่ไม่รุนแรงมากนักซึ่งเป็นลักษณะของการพัฒนาการอย่างหนึ่งของวัยรุ่นที่พยายามจะเป็นอิสระ ความเป็นตัวของตัวเองมากยิ่งขึ้น แต่ในความเป็นจริงลึกๆ วัยรุ่นยังไม่มั่นใจในตัวเองยังต้องการความช่วยเหลือสนับสนุนจากพ่อแม่อยู่ ขณะเดียวกันในช่วงนี้เด็กเริ่มมีสังคมกว้างขวางขึ้น เรียนรู้โลกมากขึ้น มีเพื่อน กลุ่มเพื่อนจะเข้ามามีบทบาท กลุ่มเพื่อนส่วนใหญ่จะเป็นเพื่อนเพศเดียวกัน กลุ่มเพื่อนจะช่วยทำให้วัยรุ่นเกิดความมั่นใจในเรื่องที่วิตกกังวลต่างๆ มากขึ้น เพราะกลุ่มเพื่อนมีลักษณะต่างๆ ที่เหมือนๆ กัน วัยรุ่นช่วงนี้จะให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนค่อนข้างมาก มีการให้คำมั่นสัญญาและสาบานร่วมกันเกิดความรู้สึกมีอารมณ์ร่วมและลึกซึ้ง รักเพื่อนมาก กิจกรรมร่วมกับเพศตรงข้ามมักจะทำเป็นลักษณะกลุ่มหญิง กลุ่มชาย
วัยรุ่นช่วงต้นมีอารมณ์และพฤติกรรมแปรปรวนอ่อนไหวง่าย หงุดหงิด ยังมีความรู้สึกที่ยึดตัวเองเป็นหลัก ( Self - centered ) และยังมีความคิดเป็นแบบ Concrete though เป็นส่วนใหญ่ ไม่สามารถควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมของตัวเองได้ ไม่สามารถเข้าใจหรือมองเห็นผลที่จะเกิดขึ้นตามมาในอนาคตซึ่งเป็นผลจากการกระทำหรือพฤติกรรมในปัจจุบัน เป็นอันหนึ่งนำไปสู่การมีพฤติกรรมเสี่ยงหรือทดลองทำพฤติกรรมต่างๆ ที่ไม่เหมาะสม วัยรุ่นช่วงต้นจะเริ่มพัฒนาการมีค่านิยมที่เป็นของตัวเอง ต้องการความเป็นส่วนตัว พ่อแม่ควรได้เปิดโอกาสให้เด็กมีสถานที่อาจจะเป็นมุมใดมุมหนึ่งของห้องหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของบ้านหรือมีห้องเฉพาะให้เป็นที่เฉพาะส่วนตัวของเขา และไม่ไปก้าวก่ายโดยไม่จำเป็น แต่คอยสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ เด็กช่วงนี้จะมีความคิดที่ค่อนข้างเพ้อฝันเกินความเป็นจริง มีการวางแผนในอนาคตหรือเป้าหมายชีวิตที่เกินความสามารถของตนเอง เช่น นักบินอวกาศ นักวิทยาศาสตร์ระดับโลก นักร้องชื่อดัง และมักจะคิดว่าตนเองสำคัญและคนอื่นๆ ให้ความสนใจตนเอง แต่ในขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกว่าตนเองโดดเดี่ยว ไม่มีใครให้ความสนใจในตนเองเลย ปัญหาของตนเองไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน ดูเหมือนไม่มีใครจะเข้าใจและช่วยเหลือแก้ไขปัญหาของตนเองได้
ระยะวัยรุ่นช่วงกลาง
เป็นช่วงระยะเวลาที่อัตราการเจริญเติบโตและการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของร่างกายและอวัยวะต่างๆ เริ่มลดลง การเจริญเติบโตของร่างกายและความเป็นหนุ่มสาวมีความสมบูรณ์เกือบเท่าผู้ใหญ่ ความตื้นเต้น วิตกกังวล สงสัย ต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวลงน้อยลง มีความพร้อมทางด้านร่างกายเข้าสู่ระยะการเจริญพันธุ์ ระยะช่วงนี้วัยรุ่นส่วนใหญ่พอใจและยอมรับในการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันก็สนใจให้เวลาในการดูแลตนเอง รูปร่าง หน้าตา ให้ดูสวยงามสร้างความสนใจให้กับผู้พบเห็น จะเห็นว่าวัยรุ่นสนใจการแต่งเนื้อแต่งตัว โดยบทบาทของเพื่อนก็จะยังเข้ามามีบทบาทในเรื่องดังกล่าวค่อนข้างมาก เด็กวัยรุ่นมักจะแต่งตัวแปลกๆ และเหมือนกับกลุ่มเพื่อนให้ได้รับการยอมรับความสนใจและการยอมรับจากกลุ่ม
ระยะวัยรุ่นช่วงกลางเป็นช่วงระยะเวลาที่มีความรุนแรงทางด้านอารมณ์และความรู้สึกต่างๆ ค่อนข้างมาก บทบาทค่านิยมของเพื่อนจะเป็นสิ่งสำคัญและมีบทบาทต่อเด็กวัยรุ่นช่วงนี้และวัยรุ่นจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับเพื่อน ทำกิจกรรมกับกลุ่มเพื่อน มีเพื่อนที่สนิท ขณะเดียวกันก็เป็นช่วงระยะเวลาที่มีความขัดแย้งกับผู้ปกครอง พ่อแม่ มากที่สุด จะให้ความสนใจและเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ของครอบครัวพ่อแม่ลดน้อยลง เนื่องจากต้องการเป็นอิสระและเป็นตัวของตัวเอง มีการฝ่าฝืนกฎระเบียบ กติกาต่างๆ มากขึ้น เนื่องจากต้องการทดลองเรียนรู้ ทดสอบว่าตนเองทำได้หรือไม่ ไม่ชอบให้ใครมาบังคับหรือสั่งการ เด็กเริ่มเรียนรู้สังคมภายนอกครอบครัวมากขึ้น เริ่มมีกิจกรรมและมีความสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามมากยิ่งขึ้น เด็กอาจจะเริ่มมีเพื่อนหญิงหรือเพื่อนชาย เริ่มมีความสัมพันธ์แบบคู่รัก แต่ยังเป็นความรักแบบรักตัวเองมากกว่าที่จะเป็นไปในลักษณะของความสัมพันธ์ลึกซึ้ง ความรับผิดชอบ มีการนัดหมายไปทานอาหาร ดูหนัง มอบสิ่งของให้แก่กันเนื่องในโอกาสต่างๆ เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากกลุ่มเพื่อน ดูเท่ห์ หรูหรา วัยรุ่นบางคนการมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด จนนำไปสู่การมีความสัมพันธ์แบบชู้สาวและมีเพศสัมพันธ์ ขณะเดียวกันวัยรุ่นช่วงนี้เป็นช่วงระยะเวลาที่มีความอยากรู้อยากทดลองในเรื่องเพศมากเป็นพื้นฐานเดิมเนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านสรีระ ฮอร์โมนเพศ ทำให้มีความพร้อมในอารมณ์และกิจกรรมทางเพศ ทำให้วัยรุ่นช่วงนี้มีการเรียนรู้และทดลองกิจกรรมในเรื่องเพศสัมพันธ์มากขึ้น ซึ่งถ้าไม่ได้รับการแนะนำหรือปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสมอาจจะนำไปสู่ปัญหาทางด้านสังคมและสุขภาพต่างๆ ตามมา เช่น การตั้งครรภ์ในวัยหนุ่มสาว การติดต่อโรคทางเพศสัมพันธ์ ต้องออกจากสถาบันการศึกษา ฯลฯ
ความรู้สึกอ่อนไหวและโรแมนติกเป็นสิ่งที่พบได้มากในวัยรุ่นช่วงนี้ ทำให้วัยรุ่นจะหมกหมุ่นและหลงไหล ชอบบรรยากาศที่สุนทรีย์ รวมถึงการฟังเพลงต่างๆ จะมีผลต่อวัยรุ่นเป็นอย่างมาก ซึ่งมีผู้ทำการศึกษาพบว่าบทเพลงต่างๆ (5) ก็จะมีผลกระทบต่อพฤติกรรมและการแสดงออกของวัยรุ่น พวกเพลง Hard Rock จะกระตุ้นให้มีความสึกหึกเหิม ก้าวร้าว ในวัยรุ่นช่วงกลางถึงแม้จะมีความคิด มีเหตุผลมากกว่าเดิมแต่เมื่อพบปัญหาหรือสภาวะวิกฤตต่างๆ ความคิด การแก้ไขปัญหาต่างๆ หรือการพัฒนาการในด้านต่างๆ ก็จะถดถอยไปเหมือนในระยะวัยรุ่นช่วงต้นได้ ดังเราจะเห็นได้ชัดกรณีวัยรุ่นกลุ่มอาชีวะศึกษายกพวกตีกัน เนื่องจากความไม่พอใจเพื่อนต่างสถาบัน การแก้ปัญหาโดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง ยึดติดอยู่กับกลุ่มเพื่อน
เพื่อนในช่วงระยะวัยรุ่นช่วงกลางมีความสำคัญและมีบทบาทต่อเพื่อนด้วยกันมาก เพื่อนเข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตประจำวันมากยิ่งขึ้น ต้องการความยอมรับจากเพื่อนๆ เป็นเหตุให้วัยรุ่นมักมีกิจกรรม การกระทำต่างๆ เช่น การแต่งตัว การแสดงออก และพฤติกรรมต่างๆ ไปในแนวเดียวกัน โดยบางครั้งไม่ได้คำนึงถึงความถูกต้องเหมาะสม เพียงแต่ต้องการยอมรับจากเพื่อนๆ ในกลุ่มเดียวกันถ้าได้เพื่อนดี ชักชวนกันทำกิจกรรมต่างๆ ในทางสร้างสรรค์ เด็กวัยรุ่นก็จะมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อปัญหาต่างๆ ค่อนข้างน้อย แต่ในทางตรงกันข้ามถ้ามีเพื่อนกลุ่มเกเร ไม่รับผิดชอบ ไม่สนใจการเรียน มีพฤติกรรมก้าวร้าว ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ก็จะชักนำให้เพื่อนกลุ่มเดียวกันมีพฤติกรรมเสี่ยงและปัญหาต่างๆ ตามมา นักวิชาการได้กล่าวไว้น่าสนใจว่า ผู้ปกครองมักจะโทษกลุ่มเพื่อนว่าชักชวนให้บุตรหลานของเราไปมีพฤติกรรมหรือการกระทำที่ไม่เหมาะสมนั้น อาจจะไม่ถูกต้องทั้งหมดเพราะเขาเชื่อว่าบุตรหลานของเราต่างหาก ที่เป็นคนที่จะเลือกคบเพื่อนตามพื้นฐานความชอบหรือนิสัยที่เขามีอยู่เดิม คือ เขาเป็นคนเลือกคบเพื่อนตามแบบที่เขาชอบและพอใจ แล้วไปปฏิบัติตัวตามเพื่อนเพื่อให้กลุ่มเพื่อนยอมรับ วัยรุ่นช่วงนี้จะมีกลุ่มเพื่อนทำกิจกรรมต่างๆ เช่น ชมรมกีฬา ดนตรี วิชาการ ศาสนา อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ฯลฯ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นและควรสนับสนุนให้วัยรุ่นได้เข้าไปมีส่วนร่วม เพราะนอกจากกระตุ้นให้วัยรุ่นรู้จักใช้เวลาทำกิจกรรมต่างๆ ยังส่งเสริมให้รู้จักการอยู่ร่วมทำกิจกรรมกับผู้อื่น เสียสละ เข้าใจสังคมภายนอกมากขึ้น และยังสร้างเสริมให้เกิดความภาคภูมิใจในตนเอง เห็นคุณค่าของตัวเองมากขึ้น
ความคิด ความสามารถ ทักษะต่างๆ ตลอดจนความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่สำคัญที่พยายามเปิดโอกาสให้วัยรุ่นแสดงความสามารถ การแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ ก็จะเกิดประโยชน์ต่อวัยรุ่นอย่างมาก วัยรุ่นช่วงนี้จะมีความคิดอยู่ในกรอบของความเป็นจริง มีเหตุผล รู้ขอบเขตความสามารถและข้อจำกัดของตนเอง ทำให้ความคิดเพ้อฝันหรือการวางแผนชีวิตในอนาคต อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงและเป็นไปได้ ซึ่งในกลุ่มเด็กที่มีเชาว์ปัญญาอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยปานกลางหรือต่ำกว่าปกติบางครั้งอาจจะทำให้เกิดความรู้สึกหรือมีประสบการณ์ที่รู้สึกท้อแท้ ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง บางคนอาจจะมีภาวะซึมเศร้าได้ ความรู้สึกที่คิดเข้าข้างตนเอง คิดว่าตนเองแน่กว่าคนอื่นๆ หลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับคนอื่นๆ นั้นจะไม่เกิดขึ้นกับตนเอง ตัวเองแน่ ตัวเองไม่ตายและไม่เหมือนใคร อันนำไปสู่พฤติกรรมเสี่ยงหรือทดลองการกระทำในสิ่งต่างๆ ที่ตนเองรู้ว่าไม่ดีหรือมีผลเสีย แต่ด้วยความเชื่อมั่นที่ผิดๆ ว่าสิ่งต่างๆ หรือผลที่จะเกิดตามมาจะไม่เกิดขึ้นกับตน ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา เช่น อุบัติเหตุ ซึ่งการขับขี่มอเตอร์ไซด์เป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของวัยรุ่น การใช้สารเสพติด เหล้า บุหรี่ ยาบ้า การตั้งครรภ์ การติดต่อโรคทางเพศสัมพันธ์ โรคเอดส์ ฯลฯ ซึ่งเป็นปัญหาการเจ็บป่วยและการตายที่สำคัญในช่วงระยะวัยรุ่น
ระยะวัยรุ่นช่วงปลาย
วัยรุ่นช่วงนี้การเจริญเติบโต การเปลี่ยนแปลงของร่างกายมีความสมบูรณ์ เป็นผู้ใหญ่เต็มที่แล้ว มีความพร้อมทางด้านการเจริญพันธ์สมบูรณ์ทั้งเพศหญิงและเพศชาย มั่นใจและพอใจลักษณะรูปลักษณ์ของตนเอง ไม่รู้สึกมีปมด้อย นอกจากบางคนที่มีความพิการหรือมีความผิดปกติ วัยรุ่นช่วงปลายเป็นช่วงระยะเวลาที่รู้สึกอิสระเป็นตัวของตัวเอง จากความรู้สึกที่จะต้องพึ่งพาพ่อแม่หรืออยู่ใต้การบังคับบัญชาของผู้ปกครอง ความขัดแย้งในช่วงวัยรุ่นช่วงกลางจึงกลับเปลี่ยนแปลงเป็นความเข้าใจถึงความรักความหวังดี ความเอื้ออาทรที่พ่อแม่มีต่อตัววัยรุ่นยอมรับฟังข้อคิดเห็นข้อเสนอแนะต่างๆ จากพ่อแม่ กลับมาให้ความสำคัญและเห็นคุณค่าของพ่อแม่ที่มีต่อตัววัยรุ่นเพิ่มมากขึ้น
ขณะเดียวกันก็ให้ข้อคิดเห็นข้อเสนอแนะคำปรึกษาและสร้างความสัมพันธ์กับพ่อแม่ในแบบลักษณะแบบผู้ใหญ่กับผู้ใหญ่มากกว่าที่จะเป็นแบบพ่อแม่กับลูก เหมือนในช่วงระยะวัยรุ่นช่วงต้นๆ แต่วัยรุ่นบางคนที่มีพัฒนาการในช่วงระยะต้น และระยะกลาง ไม่สามารถที่จะดำเนินมาได้อย่างราบรื่น เกิดความสับสน อาจมีความรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองที่จะแยกออกมาเป็นอิสระ รับผิดชอบตัวเองแบบเต็มตัว บางครั้งเกิดปัญหาต่างๆ ตามมาได้ ที่บางครั้งเรียกว่า “Crisis of 21 ” ซึ่งอาจจะมีภาวะซึมเศร้า พยายามฆ่าตัวตายหรือปัญหาทางด้านอารมณ์ วัยรุ่นช่วงปลายจะมีความคิด การตัดสินใจ อย่างมีเหตุผล มีความอดทนและความยับยั้งชั่งใจมากขึ้น มีการประณีประนอม รู้ขอบเขตและข้อจำกัดของตนเอง ในสังคมต่างประเทศแถบตะวันตกวัยรุ่นตอนปลายมักจะแยกมาอยู่ต่างหาก รับผิดชอบตัวเอง แต่ในประเทศไทยเรา ยังไม่ชัดเจนนัก เนื่องจากวัฒนธรรมทางด้านสังคมและวิถีชีวิตของคนไทยแตกต่างจากชาวตะวันตก แต่อย่างไรก็ตามวัยรุ่นไทยในปัจจุบันเนื่องจากระบบการศึกษาทำให้วัยรุ่นต้องไปศึกษาในสถานศึกษาที่ห่างไกล ต้องไปรับผิดชอบตัวเองมากขึ้น แต่ยังคงต้องอาศัยความช่วยเหลือทางด้านการเงินจากผู้ปกครอง แต่วัยรุ่นบางกลุ่มก็ทำงานมีรายได้เป็นของตนเองและรับผิดชอบการศึกษาด้วยตนเอง เพื่อนและกลุ่มเพื่อนที่มีบทบาทและมีความสำคัญกับวัยรุ่นในช่วงต้นและช่วงกลางมาก ในช่วงปลายจะไม่ค่อยมีความสำคัญกับวัยรุ่น เนื่องจากวัยรุ่นช่วงปลายจะมีความรู้สึกนึกคิดและค่านิยมที่เป็นของตัวเองแล้วเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นบางคนส่วนน้อยที่ยังไม่สามารถค้นหาหรือมีเอกลักษณ์เป็นตัวของตัวเอง ซึ่งกลุ่มนี้อาจจะต้องรอเวลาไปอีกสักระยะหนึ่ง จะมีเพื่อนสนิทรู้ใจซึ่งเป็นตัวบุคคลมากกว่าเป็นกลุ่มเพื่อน
การมีคู่รัก การมีเพศสัมพันธ์ ในวัยรุ่นช่วงปลาย จะมีความรับผิดชอบจริงใจ เห็นอกเห็นใจ ให้เกียรติแก่ฝ่ายตรงข้ามรับผิดชอบร่วมกัน การมีเพศสัมพันธ์ อย่างรับผิดชอบ เข้าใจยอมรับ มีการวางแผน คำนึงถึงวัฒนธรรม ค่านิยมทางสังคมมากกว่าความรู้สึกหรือความต้องการทางเพศเพียงอย่างเดียว บางคนอาจจะมีแผนชีวิตในการสร้างครอบครัว แต่งงานกับคนใดคนหนึ่งที่ตนรัก ไม่ใช่เพียงแต่ความต้องการทางอารมณ์เพศหรือทดลองสนุกสนาน วัยรุ่นช่วงปลายเป็นช่วงระยะเวลาที่สำคัญที่วัยรุ่นสามารถเข้าใจและปลูกฝังในเรื่องที่เป็นนามธรรมได้ดี (7) เช่น คุณธรรม จริยธรรม ศาสนา ค่านิยมทางสังคม ค่านิยมเรื่องเพศ เด็กได้มีพัฒนาการในด้านนี้มาตั้งแต่เด็ก จนถึงช่วงอายุ 6-12 ปี เป็นระยะพัฒนาการของ Superego ซึ่งเด็กมีพัฒนาการในเรื่องนี้ แต่เด็กไม่ได้เข้าใจ หรือเห็นดีเห็นงามด้วยความรู้สึกจริงๆ ของเด็ก (8) มีการวางแผนชีวิตในอนาคตอยู่ในขอบเขตของความเป็นจริงและความสามารถของตัวเอง มีความเข้าใจตัวเองมากขึ้น กลับมามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพ่อแม่ คนในครอบครัว ในวัยรุ่นในช่วงปลายจะมีความเข้าใจและยอมรับถึงผลกระทบต่อสุขภาพที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อันเป็นผลจากการกระทำหรือพฤติกรรมในปัจจุบันทำให้เกิดการยอมรับและแก้ไขพฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ ที่ไม่เหมาะสมได้ง่ายมากขึ้น
การพัฒนาการทางด้านจิตสังคมของวัยรุ่นในช่วงต่างๆ มีความแตกต่างกันแต่จะมีความต่อเนื่องเกี่ยวข้องกัน การกำหนดโดยใช้ช่วงอายุดังกล่าวเพื่อใช้เป็นกรอบและแนวคิดเท่านั้น เมื่อนำไปปฏิบัติจริงๆ จะเห็นว่าวัยรุ่นบางคนก็มีการพัฒนาการในด้านต่างๆ ก้าวหน้ากว่าอายุจริงและขณะที่บางคนอาจจะมีความล่าช้าในบางเรื่อง ทั้งนี้เพราะว่าพัฒนาการในด้านต่าง ๆ ของวัยรุ่นในสังคมต่างๆ ในแต่ละช่วงอายุมีความหลากหลายและแตกต่างกันไปบ้าง ทั้งนี้คงจะไม่สามารถชี้ชัดลงไปได้เลยว่าอะไรถูกผิด เพราะมีปัจจัยอื่นๆ ที่เข้ามามีส่วนในการเรียนรู้ต่อการเปลี่ยนแปลงความก้าวหน้าทางด้านพัฒนาการในด้านต่างๆ คงจะต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วยก่อนที่จะตัดสินว่าเหมาะสมถูกต้องหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่รวบรวมมานำเสนอเป็นสิ่งที่วัยรุ่นส่วนใหญ่มีการพัฒนาการทางด้านสังคมจิตวิทยาในช่วงอายุต่างๆ มีลักษณะดังกล่าวข้างต้น สิ่งที่น่าสนใจคือการเจริญเติบโตและการพัฒนาการในด้านต่างๆ ของวัยรุ่นเกิดขึ้นอย่างมากและรวดเร็วในระยะเวลาสั้นๆ ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาที่วัยรุ่นจะต้องมีการปรับตัวมีการเรียนรู้ ฝึกทักษะ ในด้านต่างๆ ค่อนข้างมาก จึงเป็นช่วงระยะเวลาที่สำคัญที่บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ปกครอง ตลอดจนตัววัยรุ่น ควรได้รับทราบ ให้ความสนใจได้รับการดูแลเอาใจใส่ อีกช่วงระยะเวลาหนึ่งนอกจากในวัยเด็ก ที่จะประคับประคองให้เด็กสามารถผ่านระยะวัยรุ่น ซึ่งถือว่าเป็นระยะเวลาธรรมชาติมรสุมของชีวิตไปได้อย่างปลอดภัยเพื่อเป็นผู้ใหญ่ที่ดีและมีคุณ ภาพ